มหาภูมิพลอดุลยเดช พ.ศ. ๒๔๘๙ – พ.ศ. ๒๕๕๙
มหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราช
สมภพเมื่อวันจันทร์ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือนอ้าย
ปีเถาะ จุลศักราช ๑๒๘๙ ตรงกับวันที่ ๕
ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๐ ทรงเป็นพระราช
โอรสพระองค์เล็กในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร
อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จ
พระศรีนครินทราบรมราชชนนี
บทนำ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชสมภพเมื่อวันจันทร์ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ จุลศักราช ๑๒๘๙ ตรงกับวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๐ ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์เล็กในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
หลังจากเสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบราชสันตติวงศ์ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ แล้ว ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบอย่างโบราณราชประเพณีเพียง ๒ วัน คือ วันที่ ๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ เป็นวันจุดเทียนชัย กับวันที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ อันเป็นวันประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก นับว่ามีการเปลี่ยนแปลงจากครั้งรัชกาลก่อนๆ ทั้งนี้เพราะได้ทรงย่นพิธีให้น้อยลงเพื่อให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ในเวลานั้น
พระราชพิธีที่ประกอบขึ้นก่อนวันพระฤกษ์บรมราชาภิเษก
อย่างไรก็ดี ก่อนจะเริ่มการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกได้ประกอบพระราชพิธีเบื้องต้น ๒ พิธี คือ (๑) ทำน้ำอภิเษก ตั้งพิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ ณ พระพุทธเจดีย์ที่สำคัญตามจังหวัดต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร รวม ๑๘ แห่ง เหมือนครั้งรัชกาลก่อนๆ ซึ่งเมื่อทำพิธีเสร็จแล้วก็ส่งเข้ามาเจือปนเป็นน้ำมูรธาภิเษกให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสรงและทรงรับน้ำอภิเษกในวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษกต่อไป
พระพุทธเจดีย์ที่สำคัญที่ตั้งพิธีทำน้ำอภิเษกทั้ง ๑๘ แห่งนั้น ส่วนใหญ่เป็นแหล่งเดียวกับที่เคยทำมา แต่ในครั้งนี้ได้เปลี่ยนแปลงชื่อที่เรียกตามมณฑลเป็นจังหวัด คือ
- จังหวัดสระบุรี ตั้งที่พระพุทธบาท
- จังหวัดพิษณุโลก ตั้งที่วัดพระศรีมหาธาตุ
- จังหวัดสุโขทัย ตั้งที่วัดพระมหาธาตุ
- จังหวัดนครปฐม ตั้งที่พระปฐมเจดีย์
- จังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งที่วัดพระมหาธาตุ
- จังหวัดลำพูน ตั้งที่พระธาตุหริภุญชัย
- จังหวัดนครพนม ตั้งที่พระธาตุพนม
- จังหวัดน่าน ตั้งที่พระธาตุแช่แห้ง
- จังหวัดร้อยเอ็ด ตั้งที่บึงพระลานชัย
- จังหวัดเพชรบุรี ตั้งที่วัดมหาธาตุ
- จังหวัดชัยนาท ตั้งที่วัดพระบรมธาตุ
- จังหวัดฉะเชิงเทรา ตั้งที่วัดโสธร
- จังหวัดนครราชสีมา ตั้งที่วัดพระนารายณ์มหาราช
- จังหวัดอุบลราชธานี ตั้งที่วัดศรีทอง
- จังหวัดจันทบุรี ตั้งที่วัดพลับ
- จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตั้งที่วัดพระมหาธาตุ อำเภอไชยา
- จังหวัดปัตตานี ตั้งที่วัดตานีนรสโมสร
- จังหวัดภูเก็ต ตั้งที่วัดทอง
โดยทางจังหวัดแต่ละจังหวัดประกอบพิธีระหว่างวันที่ ๑๘-๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ มีราชบุรุษไปพลีกรรมตักน้ำ ณ สถานศักดิ์สิทธิ์ แล้วนำเข้ามาในมณฑลพิธี ประธานสงฆ์ประกาศเทวดา จุดเทียนชัย พระสงฆ์ ๓๐ รูปเจริญพระพุทธมนต์แล้วผลัดเปลี่ยนกันสวดภาณวาร เมื่อตั้งบายศรีเวียนเทียนสมโภชแล้วจัดส่งเชิญมายังกรุงเทพฯ
สำหรับทางกรุงเทพฯ ได้เตรียมการประกอบ (๒) พระราชพิธีจารึกพระสุพรรณบัฏ ตั้งแต่วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓ ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ เจ้าพนักงานตั้งเครื่องนมัสการ ตั้งศาลบูชาเทวดา และตั้งเครื่องบัตรพลีต่างๆ รวม ๒๔ บัตร
พระราชวงศ์ที่เสด็จมาประกอบพระราชพิธี คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต พระสงฆ์ประธานคณะที่รับนิมนต์มาเจริญพระพุทธมนต์ คือ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (โสม ฉนฺน) วัดสุทัศนเทพวราราม และนายจินดา วัชรโชติ กับนายใจ ทับเทศ โหรสวดบูชาเทวดา
วันประกอบพระราชพิธีจารึกพระสุพรรณบัฏ คือ วันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓ ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตั้งโต๊ะ ๘ ตัว๑ สำหรับจารึกพระสุพรรณบัฏ โต๊ะจารึกดวงพระบรมราชสมภพ โต๊ะแกะพระราชลัญจกร โต๊ะจารึกพระนามสมเด็จพระสังฆราช โต๊ะจารึกพระสุพรรณบัฏพระนามพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระชัยนาทนเรนทร โต๊ะจารึกพระสุพรรณบัฏพระนามพระวรวงศ์เธอ กรมหมี่นพิทยลาภพฤฒิยากร โต๊ะจารึกพระสุพรรณบัฏพระนามพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย และโต๊ะจารึกพระสุพรรณบัฏพระนามพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านักขัตรมงคล ทุกโต๊ะตั้งหันหน้าไปทางทิศอาคเนย์อันเป็นทิศมงคล ทุกโต๊ะมีเทียนเงินเทียนทองกับพานดอกไม้ตั้งอยู่ นอกจากนี้ ในพระอุโบสถยังตั้งโต๊ะเครื่องบายศรีตอง ๓ ชั้น ซ้าย ขวา มีกล้วยน้ำ หัวหมู สำหรับบูชาพระฤกษ์
เมื่อได้ฤกษ์และองค์ประธานจุดเทียนทุกโต๊ะแล้ว โหรลั่นฆ้องชัย พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา พราหมณ์เป่าสังข์ พนักงานแกว่งบัณเฑาะว์ ประโคมดนตรี ตลอดเวลาที่จารึก
- หลวงบรรเจิดอักษรการ (ทับ ศาสตราภัย) หัวหน้ากองประกาศิต หน้าที่อาลักษณ์ จารึกพระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวลงในพระสุพรรณบัฏ
- พระยาโหราธิบดี (แหยม วัชรโชติ) จารึกดวงพระบรมราชสมภพ
- หม่อมเจ้าสมัยเฉลิม กฤดากร ศิลปิน แกะพระราชลัญจกรประจำรัชกาล
เมื่อจารึกพระปรมาภิไธย ดวงพระบรมราชสมภพ พระราชลัญจกรเสร็จแล้ว พระราชครูวามเทพมุนี (สวาสดิ์ รังสิพราหมณกุล) หลั่งน้ำสังข์ที่พระสุพรรณบัฏ ดวงพระบรมราชสมภพ พระราชลัญจกร และพระสุพรรณบัฏอื่นๆ สอดใบมะตูม ๑ กิ่ง มี ๓ ใบ แล้วจัดเตรียมให้พราหมณ์เบิกแว่นเวียนเทียนสมโภช ๓ รอบ เป็นอันเสร็จพิธี และเตรียมแห่เข้ามณฑลพระราชพิธีในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ
๑ รัชกาลก่อนๆ ตั้งเพียง ๓ โต๊ะ สำหรับจารึกพระสุพรรณบัฏ จารึกดวงพระราชสมภพ และโต๊ะแกะพระราชลัญจกรประจำรัชกาล ส่วนพระสุพรรณบัฏอื่นๆ นั้นจะเป็นพระนามสมเด็จพระสังฆราชและพระบรมวงศานุวงศ์ที่จะได้รับสถาปนาเลื่อนพระยศในวันที่ ๗-๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ รวม ๕ พระองค์ คือ
- สมเด็จพระสังฆราช (ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์ สุจิตฺโต) เฉลิมพระนามเป็นสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์
- พระวรวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร สถาปนาเป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมพระ
ชัยนาทนเรนทร - พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัติ สถาปนาเป็นพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นทิพยลาภพฤฒิยากร
- หม่อมเจ้าวิวัฒนไชย ไชยันต์ สถาปนาเป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย
- หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร สถาปนาเป็นพระวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้านักขัตรมงคล
สำหรับพระบรมวงศ์นี้ทรงสถาปนาในวันที่ ๘ พฤษภาคม
วรวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร และจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ลงนามเป็นราชสักขี เวลา ๑๐:๔๕ น. สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ถวายน้ำพระพุทธมนต์เทพมนต์ และทรงเจิมแด่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร เป็นสมเด็จพระราชินีแล้ว พระราชทานเครื่องพระราชอิสริยาภรณ์ อันมีเกียรติคุณยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ประดับเพชร
พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส
การพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ได้กำหนดพระฤกษ์ในวันศุกร์ที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓ ณ วังสระปทุม ตำหนักสมเด็จพระศรีสวรินทิรา
บรมราชเทวี
พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า มีพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร และจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ลงนามเป็นราชสักขี เวลา ๑๐:๔๕ น. สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี
พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ถวายน้ำพระพุทธมนต์เทพมนต์ และทรงเจิมแด่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร เป็นสมเด็จพระราชินีแล้ว พระราชทานเครื่องพระราชอิสริยาภรณ์ อันมีเกียรติคุณยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ประดับเพชร
ของที่ระลึกในพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสที่พระราชทานพระบรมราชวงศ์ คือ หีบบุหรี่เงินถม มีพระปรมาภิไธยย่อ “ภ.อ.” กับ “ส.ก.” และเครื่องหมายของราชวงศ์จักรี คือ จักรกับตรีศูลอยู่ตรงกลาง
เวลา ๑๖:๐๐ น. วันเดียวกันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จประทับเหนือพระราชอาสน์ในพระที่นั่งไพศาลทักษิณให้พระบรมวงศานุวงศ์เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล โดยมีพระบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทรทรงรับฉันทานุมัติจากพระบรมวงศานุวงศ์เป็นผู้กราบทูล เสร็จแล้วทรงมีพระราชดำรัสตอบขอบพระทัย
จากนั้นจึงเสด็จออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยให้คณะรัฐมนตรี คณะทูต สมาชิกวุฒิสภา สภาผู้แทน และข้าราชการเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นผู้กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล เสร็จแล้วเสด็จขึ้น๑
๑ ศรีพนม สิงห์ทอง, พระราชพิธีของกษัตริย์ไทย (เกษมสันต์การพิมพ์, ๒๕๐๕), หน้า ๔๓-๔๙.
สมเด็จพระบรมราชบุพการี พิธีหนึ่งที่ทรงกระทำก่อนการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก คือ การถวายราชสักการะพระบรมอัฐิและพระอัฐิของสมเด็จพระบรมราชบุพการี ในหอพระธาตุมณเฑียร
การถวายราชสักการะสมเด็จพระบรมราชบุพการี
พิธีหนึ่งที่ทรงกระทำก่อนการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก คือ การถวายราชสักการะพระบรมอัฐิและพระอัฐิของสมเด็จพระบรมราชบุพการี ในหอพระธาตุมณเฑียร ที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ เพื่อให้เกิดสวัสดิมงคลและอาจเป็นการขอพระบรมราชานุญาตเสด็จเข้าพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
การเตรียมตกแต่งสถานที่
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกได้กำหนดให้พระฤกษ์ประกอบการพระราชพิธีในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ เจ้าพนักงานจึงตกแต่งพระราชมณเฑียรที่ต้องจัดตั้งเครื่องประกอบพระราชพิธีต่างๆ
ตั้งแต่วันที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ทั้งที่พระนั่งจักรพรรดิพิมาน พระที่นั่งไพศาลทักษิณ และพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย
ตลอดทั้งในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามและโรงพิธีพราหมณ์
ณ ศาลาสหทัยสมาคม๑
การตกแต่งก็ทำดังเคยปฏิบัติมา เช่น พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย จัดพระที่นั่งมหาเศวตฉัตรตั้งพระราชอาสน์ ทอดเครื่องราชูปโภคต่างๆ และตั้งเตียงพระสงฆ์สวดและอาสนสงฆ์ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ตั้งพระแท่นมณฑล ตั้งเครื่องมงคลต่างๆ รวม ๖ หมวด
คือ หมวดสิ่งสักการะ หมวดพระราชสิริ หมวดเครื่องพระมูรธาภิเษก หมวดเครื่องต้น หมวดพระแสง และหมวดเครื่องสูง นอกจากนี้ ยังจัดตกแต่งพระที่นั่งอัฐทิศ พระที่นั่งภัทรบิฐ วิมานพระสยามเทวาธิราช และอาสนสงฆ์
พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ตั้งพระแท่นบรรทม และตั้งเครื่องเฉลิมพระราชมณเฑียร คือ พระแส้หางช้างเผือก ศิลาบดโมรา พานพืช มีข้าวเปลือก ถั่ว งา เมล็ดพันธุ์ผักกาด เมล็ดฝ้าย กุญแจทอง จั่นหมากทอง พานฟัก๒
มณฑปพระกระยาสนาน ตั้งตั่งไม้อุทุมพรหุ้มผ้าขาว มีถาดทองปูด้วยผ้าขาว ลาดด้วยใบแก้ว ตั้งโต๊ะเคียงข้างตั่ง เมื่อตั้งพระครอบมูรธาภิเษก วางใบอ้อ๓ ซึ่งเป็นไม้กาลกิณีรองไว้ใต้ผ้าขาวปูพื้นสำหรับทรงเหยียบ บนฐานพระมณฑปตั้งราชวัติพื้นขาวลายทอง มีเครื่องสูงทองแผ่ลาด ๓ ชั้น สีทอง นาก เงิน ปักทั้ง ๔ มุม มุมละ ๓ องค์ ที่ราชวัติประดับต้นกล้วย ต้นอ้อย จั่นหมากและจั่นมะพร้าว รวมทั้งตั้งบุษบกประดิษฐานพระชัยนวโลหะและพระพิฆเนศ ตั้งศาลพระอินทร์และศาลเทวดาจตุโลกบาล
ตั้งโรงพิธีพราหมณ์ที่ศาลาสหทัย ตั้งราชวัติ ๔ มุม ตั้งเตียงมณฑล ประดับฉัตรรองกระดาษ ๕ ชั้น ประดับต้นกล้วย ต้นอ้อย จั่นหมาก จั่นมะพร้าว มีโต๊ะทองประดิษฐานเทวรูปต่างๆ คือ พระอิศวร (ศิวะ) พระอุมา พระวิษณุ (นารายณ์) พระลักษมี
พระมเหศวรี (พระภูเทวี) พระพรหม และพระพิฆเนศ ตั้งโต๊ะเทวดา
นพเคราะห์ โต๊ะเบญจครรภ และหม้อกุมภ์ ๙ หม้อ ด้านขวาตั้งเตาโหมกุณฑ์ วงด้ายสายสิญจน์ แขวนพรหมโองการทั้ง ๘ ทิศ
พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จัดเทียนพระมหามงคลวันละคู่ ตั้งเครื่องนมัสการทองใหญ่ และพระแท่นทรงกรวย กรมโฆษณาการ (กรมประชาสัมพันธ์) จัดตั้งเครื่องถ่ายทอดเสียงทางวิทยุกระจายเสียงในงานวันพระราชพิธี๔
เมื่อตกแต่งสถานที่แล้ว ในวันที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ มีการแห่พระสุพรรณบัฏ พร้อมด้วยดวงพระราชสมภพและพระราชลัญจกรประจำรัชกาลจากพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามไปประดิษฐาน ณ พระแท่นมณฑลในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ
เวลาเย็น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเพื่อทรงประกอบพระราชพิธีจุดเทียนชัย โดยสมเด็จพระสังฆราชเสด็จไปจุด พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์พระราชพิธีบรมราชาภิเษกและพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร สมเด็จพระสังฆราชจุดเทียนชนวนให้มหาดเล็กพร้อมด้วยธูปเงินเทียนทองดอกไม้บูชาพระมหาเศวตฉัตร ๕ แห่ง และบูชาปูชนียสถานสำคัญ ๑๓ แห่ง๕
๑ รัชกาลก่อนๆ จะปลูกที่ชาลาระหว่างพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยกับพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ครั้งรัชกาลที่ ๗ ปลูกริมกำแพงระหว่างพระที่นั่งบรมพิมานกับพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย
๒ รัชกาลก่อนๆ บางรัชกาลมีเฉพาะพระแส้หางช้างเผือก กุญแจทอง จั่นหมาก สำหรับศิลาบด วิฬาร์ (แมว) พานพืชต่างๆ และพานฟัก เริ่มมีในรัชกาลที่ ๒ ต่อมารัชกาลที่ ๖ มีไก่ขาวเพิ่มอีก
๓ รัชกาลที่ ๖ ใช้ใบกระถิน รัชกาลที่ ๗ ใช้ใบตะขบ
๔ มีขึ้นเป็นครั้งแรก
๕ ศรีพนม สิงห์ทอง, พระราชพิธีของกษัตริย์ไทย, หน้า ๖๑-๖๓.
ในวันพระฤกษ์บรมราชาภิเษก ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓
อันเป็นวันประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
สรงมูรธาภิเษก๑ แล้วทรงเครื่องต้นเสด็จออก
ประทับเหนือพระที่นั่งอัฐทิศ
การประกอบพระราชพิธีในวันพระฤกษ์บรมราชาภิเษก
ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ อันเป็นวันประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชสรงมูรธาภิเษก๑ แล้วทรงเครื่องต้นเสด็จออกประทับเหนือพระที่นั่งอัฐทิศภายใต้สตปฎลเศวตฉัตร
(ฉัตร ๗ ชั้น) สมาชิกรัฐสภา๒ ถวายน้ำอภิเษกและพราหมณ์พิธีถวายน้ำเทพมนต์ เวียนไปครบแปดทิศ เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศร์ (จิตต์ ณ สงขลา) ประธานวุฒิสภาถวายพระพรเป็นภาษามคธ และนายเพียร ราชธรรมนิเทศ
ประธานสภาผู้แทนราษฎรถวายพระพรเป็นภาษาไทย พระราชครูวามเทพมุนีถวายนพปฎลมหาเศวตฉัตร (ฉัตร ๙ ชั้น) แล้วเสด็จพระราชดำเนินสู่พระที่นั่งภัทรบิฐ๓ พราหมณ์ร่ายเวทเปิดศิวาลัยไกลาส ทูลเกล้าฯ ถวายพระสุพรรณบัฏ
เครื่องราชกกุธภัณฑ์ เครื่องราชูปโภค และพระแสงอัษฎาวุธ ด้วยภาษามคธ สำรับพระสุพรรณบัฏได้จารึกพระปรมาภิไธยว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร”
เมื่อทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ต่างๆ แล้ว พระราชครูวามเทพมุนีถวายพระพรชัยมงคลด้วยภาษามคธ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการตอบ พระราชอารักขาแก่ประชาชนชาวไทยด้วยภาษาไทยว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
เมื่อพระราชครูวามเทพมุนีรับพระราชโองการด้วยภาษามคธและภาษาไทยแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหลั่งน้ำทักษิโณทก ตั้งพระราชสัตยาธิษฐานจะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจปกครองราชอาณาจักรไทยโดย
ทศพิธราชธรรมจริยา จากนั้นทรงเปลื้องพระมหาพิชัยมงกุฎ พระธำมรงค์รัตน
วราวุธ และพระธำมรงค์วิเชียรจินดา จมื่นสิริวังรัตน (เฉลิม คชาชีวะ) เลขาธิการพระราชวังทูลเกล้าฯ ถวายดอกพิกุลทอง ดอกพิกุลเงิน
ทรงโปรยพระราชทานแก่พราหมณ์ แล้วเสด็จฯ ออกจากพระที่นั่งไพศาลทักษิณสู่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมแด่พระสงฆ์ ๘๐ รูป พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา สมเด็จพระสังฆราชถวายอดิเรกเป็นปฐม
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ถวายพระพรลา แล้วเสด็จขึ้น สมเด็จพระสังฆราชดับเทียนชัย
๑ น้ำสำหรับสรงมูรธาภิเษกเป็นน้ำที่เจือด้วยน้ำจากปัญจมหานทีในอินเดีย คือ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหิ และจากปัญจสุทธคงคาในแม่น้ำสำคัญทั้ง ๕ ของไทย คือ
- แม่น้ำเจ้าพระยา ตักที่ตำบลบางแก้ว จังหวัดอ่างทอง
- แม่น้ำเพชรบุรี ตักที่ตำบลท่าชัย จังหวัดเพชรบุรี
- แม่น้ำราชบุรี ตักที่ตำบลดาวดึงษ์ จังหวัดสมุทรสงคราม
- แม่น้ำป่าสัก ตักที่ตำบลท่าราบ จังหวัดสระบุรี
- แม่น้ำบางปะกง ตักที่ตำบลบึงพระอาจารย์ จังหวัดนครนายก
๒ เดิม ราชบัณฑิต เป็นผู้ถวายน้ำอภิเษก
๓ แต่เดิมทูลเกล้าฯ ถวายที่พระที่นั่งภัทรบิฐ หลังจากที่ทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ เครื่องราชูปโภค พระแสงอัษฎาวุธ ตลอดจนราชสมบัติแล้ว ครั้งนี้พิเศษกว่ารัชกาลก่อนๆ ที่ถวายพระนพปฎลมหาเศวตฉัตรที่พระที่นั่งอัฐทิศ
เสด็จออกมหาสมาคม
เวลาบ่ายของวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ออกมหาสมาคมที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยให้คณะรัฐมนตรี คณะทูต สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทน และข้าราชการ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเพื่อกราบทูลถวายพระพรชัยมงคล โดยมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี กราบทูลในนามคณะรัฐมนตรีและข้าราชการทั่วพระราชอาณาจักร และพระยาศรีธรรมาธิเบศร์ ประธานรัฐสภา กราบทูลในนามประชาชนชาวไทย แล้วทรงมีพระบรมราชโองการตรัสตอบขอบใจทั่วกัน แล้วเสด็จขึ้น
สถาปนาสมเด็จพระบรมราชินี
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินออกมหาสมาคมแล้ว ในเวลา ๑๔:๔๐ น.พระองค์ได้เสด็จฯ ขึ้นพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ประทับเหนือพระที่นั่งภัทรบิฐเบื้องซ้าย มีพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการสตรีในพระราชฐานเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท จากนั้นโปรดเกล้าฯ ให้หลวงอักษรการอาลักษณ์อ่านประกาศกระแสพระบรมราชโองการ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระราชินีให้ทรงดำรงราชฐานันดรศักดิ์เป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี
จากนั้นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เสด็จสู่หน้าพระที่นั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหลั่งน้ำพระมหาสังข์ ทรงเจิม พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ และเครื่องอิสริยราชูปโภคสำหรับตำแหน่งสมเด็จพระราชินี๑
ชาวพนักงานเป่าสังข์ แกว่งบัณเฑาะว์ ประโคมดนตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร กราบบังคมทูลพระกรุณาแทนพระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ทรงมีพระราชดำรัสตอบขอบพระทัย จากนั้นจมื่นสิริวังรัตน เลขาธิการพระราชวัง ทูลเกล้าฯ ถวายขันดอกพิกุลทอง ดอกพิกุลเงิน ทรงโปรยพระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์ แล้วทั้งสองพระองค์เสด็จขึ้น
ระหว่างที่เสด็จฯ ออกมหาสมาคมนี้ เจ้าหน้าที่ได้เทียบพระยาช้างต้นและพระราเชนทรยานที่เกยหน้าพระที่นั่งดุสิดาภิรมย์ เทียบพระยาม้าต้นและรถยนตร์พระที่นั่งที่หน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และเทียบเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ที่ท่าราชวรดิฐ
๑ ประกอบด้วยเครื่องราชูปโภค ๗ สิ่ง คือ
- พานพระศรีทองลงยา ขอบประดับทับทิม อันประกอบด้วยจอกลงยา ผอบทองลงยา ปริกประดับเพชร ซองพลูทองลงยา ขอบบนและล่างประดับทับทิม ตลับสีผึ้งประดับทับทิมและเพชร มีไม้แคะพระกรรณปิดด้ามทองลงยา
- พระสุพรรณศรีทองลงยา ขอบบนและล่างประดับทับทิม
- ขันพระสุธารสทองลงยา พานรองทองลงยา รอบขอบฝังทับทิม มีจอกฝาทองลงยา
- ขันสรงพระพักตร์ทองลงยา มีพานรองและผ้าคลุมปัก
- หีบพระศรีทองลายกอบัวตรามงกุฎ ประดับเพชร ทับทิม มรกต มีตลับทองลงยาลายกอบัว ที่ฝาตลับมีมงกุฎเพชรล้อม ๓ ตลับ
- กาพระสุธารสทองลงยา มีสร้อยโยง ถาดรองทองลงยา
- กล่องตราจุลจอมเกล้า ตลับซีก ๕ ตลับ พานรองทองลงยา
ประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภก
เย็นวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับบนพระที่นั่งราชยานพุดตานทอง เสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนราบใหญ่ไปยังพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามเพื่อทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะและถวายต้นไม้ทอง ต้นไม้เงิน บูชาพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระพุทธเลิศหล้านภาลัย แล้วทรงจุดธูปเทียนถวายนมัสการพระรัตนตรัย สมเด็จพระสังฆราชถวายศีล พระองค์ทรงสมาทานศีลแล้วมีพระราชดำรัสประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภกท่ามกลางพระสงฆ์ ๘๐ รูป มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน
ถวายบังคมพระบรมอัฐิ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินจากพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้ว ได้เสด็จฯ ขึ้นหอพระธาตุมณเฑียร พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เพื่อถวายบังคมพระบรมอัฐิและพระอัฐิของสมเด็จพระบรมราชบุพการี คือ พระบรมอัฐิพระปฐมบรมมหาชนก (พระราชบิดาในรัชกาลที่ ๑) พระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๘ พระบรมอัฐิสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี พระอัฐิสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี พระอัฐิสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระอัฐิสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ และพระอัฐิสมเด็จพระราชบิดา
วันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินจากพระที่นั่งไพศาลทักษิณไปยังพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ระหว่างทางพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรยเงินสลึงตลอดทาง มีผู้เชิญเทียนนำกระบวนเสด็จ เท่าที่ทราบผู้ตามเสด็จมีหม่อมเจ้าเฟื่องฉัตร ฉัตรชัย เชิญพระแสงขรรค์ชัยศรี หม่อมราชวงศ์วิมลพยอม
สวัสดิวัตน์ เชิญพระสุพรรณศรี หม่อมราชวงศ์พวงแก้ว ชุมพล เชิญพานพระโอสถ
พิธีสมโภช (เฉลิม) พระราชมณเฑียร
ในค่ำวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ เจ้าพนักงานตั้งบายศรีทอง บายศรีเงิน ที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พราหมณ์เบิกแว่นเวียนเทียนสมโภชพระราชมณเฑียรตามราชประเพณี ค่ำวันรุ่งขึ้น คือวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินจากพระที่นั่งไพศาลทักษิณไปยังพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ระหว่างทางพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรยเงินสลึงตลอดทาง มีผู้เชิญเทียนนำกระบวนเสด็จ เท่าที่ทราบผู้ตามเสด็จมีหม่อมเจ้าเฟื่องฉัตร ฉัตรชัย เชิญพระแสงขรรค์ชัยศรี หม่อมราชวงศ์วิมลพยอม สวัสดิวัตน์ เชิญพระสุพรรณศรี หม่อมราชวงศ์พวงแก้ว ชุมพล เชิญพานพระโอสถ
ที่ห้องพระบรรทม พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี และพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าประดิษฐาสารี ทรงลาดพระที่ และวางเครื่องเฉลิมพระราชมณเฑียร ท้าววรคณานันทน์ (ม.ร.ว.แป้น มาลากุล)
กราบบังคมทูลให้ทั้งสองพระองค์เสด็จเข้าสู่ห้องบรรทม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับบนพระแท่นลด ส่วนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ประทับร่วมกับพระบรมวงศ์ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้านภาพรประภา
กรมหลวงทิพยรัตน
กิริฎกุลินี ทูลเกล้าฯ ถวายพระแส้หางช้างเผือก พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า
ประดิษฐาสารี ทูลเกล้าฯ ถวายกุญแจทอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับแล้วทรงวางไว้ปลายพระที่นั่งบนพระแท่นใหญ่
แล้วเสด็จขึ้นพระแท่นใหญ่ เอนพระองค์ลงบรรทมเบื้องขวาบนพระที่เป็นพิธี แล้วชาวพนักงานเป่าสังข์ประโคมดนตรี พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี ถวายพระพรชัยมงคล
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับพระพรแล้วทรงโปรยดอกพิกุลทอง ดอกพิกุลเงิน พระราชทาน เป็นเสร็จการพระราชพิธี
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เสด็จออกท้องพระโรงกลางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระราชทานวโรกาสให้ทูตานุทูตเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท โดยมี ฯพณฯ เอกอัครราชทูตอังกฤษในฐานะหัวหน้าคณะทูต อ่านคำกราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอบ แล้วเสด็จขึ้น
การถวายพระพรชัยมงคล
ในวันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ เวลาเช้า ๑๑:๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เสด็จออกท้องพระโรงกลางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระราชทานวโรกาสให้ทูตานุทูตเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท โดยมี ฯพณฯ เอกอัครราชทูตอังกฤษในฐานะหัวหน้าคณะทูต อ่านคำกราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอบ แล้วเสด็จขึ้น
เย็นวันเดียวกันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้า
สิริกิติ์ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐานมายังพระบรมมหาราชวัง พระราชทานวโรกาสให้นายต่วน สุวรรณศาสน์ จุฬาราชมนตรี
และคณะกรรมการกลางอิสลาม รวมทั้งคณะบุคคลต่างๆ ทางศาสนา และทำพิธีจำนวน ๑๖ คณะ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล
จากนั้นทั้งสองพระองค์เสด็จออกสีหบัญชร ณ พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท พระราชทานวโรกาสให้ประชาชนเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท น้อมเกล้าฯ ถวายดอกไม้ธูปเทียนและกราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล
และตั้งพระราชาคณะ หลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนาง
เจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เสด็จออกสีหบัญชร ณ พระที่นั่ง
สุทไธสวรรย์ปราสาทให้ประชาชนเฝ้าแล้ว พระองค์ได้
เสด็จออก ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย โปรดเกล้าฯ ให้
หลวงบรรเจิดอักษรการอาลักษณ์ อ่านประกาศกระแส
พระบรมราชโองการ
เฉลิมพระนามสมเด็จพระสังฆราชและตั้งพระราชาคณะ
หลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เสด็จออกสีหบัญชร ณ พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาทให้ประชาชนเฝ้าแล้ว พระองค์ได้เสด็จออก ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย โปรดเกล้าฯ ให้หลวงบรรเจิดอักษรการอาลักษณ์ อ่านประกาศกระแสพระบรมราชโองการ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศสถาปนาเฉลิมพระนามสมเด็จพระสังฆราช จบแล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหลั่งน้ำถวายพระหัตถ์สมเด็จพระสังฆราช และทรงประเคนใบกำกับพระสุพรรณบัฏ ไตร ย่าม พนักงานประโคมแตรสังข์ ฆ้องชัย ดุริยางค์
จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตั้งสมณศักดิ์พระราชาคณะ ๓ รูป เพื่อเป็นพระราชสิริสวัสดิ์ และเป็นราชธรรมานุสรณ์ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามบูรพราชประเพณี
ฉลองพระองค์รัชกาลที่ ๙ ระหว่างการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
วันอภิเษกสมรส วันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓
เวลาเช้า
ทรงเครื่องแบบจักรีบรมราชวงศ์ ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ทรงสวมสายสะพายตราจุลจอมเกล้า
เวลาบ่าย
ทรงเครื่องแบบเต็มยศจอมพลทหารบก ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ทรงสวมสายสะพายมหาจักรีบรมราชวงศ์
วันประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
วันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓
เวลาเช้า
ทรงเครื่องแบบเต็มยศจอมพลทหารบก ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ทรงสวมสายสะพายนพรัตนราชวราภรณ์ เมื่อเสด็จสู่พระมณฑปพระกระยาสนานทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นเศวตพัสตร์ ทรงสะพักขาวขลิบทอง สรงมูรธาภิเษกแล้วทรงผลัดพระภูษาเป็นเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์สำหรับบรมราชาภิเษก คือ ทรงฉลองพระองค์ไหมทองสลับไหมสีฟ้า กลัดกระดุมนพรัตน ๗ กระดุม และจีบหลัง ๒ กระดุม ทรงฉลองพระองค์ครุยริ้วทองพื้นสีเหลืองอ่อนชั้นนอก ทรงสวมสายสะพายนพรัตนราชวราภรณ์ ประดับจักรีดารา ทรงพระภูษาเขียนทองพื้นสีน้ำเงิน พระสนับเพลาสีเขียว รัดพระองค์สายทองและหัวฝังเพชร ถุงพระบาทแพรสีฟ้า ฉลองพระบาท (เข็ม) ไหมทองสลับสีฟ้า
เวลาบ่าย
เสด็จออกมหาสมาคมและสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์นพรัตนราชวราภรณ์เช่นเวลาเช้า
เวลาเย็น
ประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภกและถวายบังคมพระบรมอัฐิ ทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ ทรงพระมาลาเส้าสูง
เฉลิมพระราชมณเฑียร
วันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓
เวลาค่ำ ๒๐:๐๐ น. ทรงเครื่องสีวันเสาร์ ฉลองพระองค์ไหมทองสลับสีน้ำเงินแก่ กระดุมเพชร ๕ กระดุม พระภูษาไหมทองสลับกรมท่า
ให้บุคคลต่างๆ เข้าเฝ้าถวายพระพรชัยมงคลและเฉลิมพระนามสมเด็จพระสังฆราช
วันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓
ทรงเครื่องเต็มยศจอมพลทหารบก