โอรสองค์เล็กในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
ประสูติเมื่อวันพุธ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีมะเส็ง
ตรงกับวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๖ ทรงได้รับ
พระราชทานนามว่า “สมเด็จเจ้าฟ้าชายประชาธิปก
ศักดิเดชน์ ปานศรมหาราชาธิราช จุฬาลงกรณนาถ
วโรรส อุดมยศ อุกฤษฐศักดิ์ อุภัยปักษนาวิล อสัมภินชาติ
พิสุทธิ มหามกุฎราชพงศบริพัตร มงคลสมัยสมากร
สถาวรจรัจฉริยคุณ อดุลยราชกุมาร”
บทนำ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระราชโอรสองค์เล็กในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ประสูติเมื่อวันพุธ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีมะเส็ง ตรงกับวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๖ ทรงได้รับพระราชทานนามว่า “สมเด็จเจ้าฟ้าชายประชาธิปกศักดิเดชน์ ปานศรมหาราชาธิราช จุฬาลงกรณนาถวโรรส อุดมยศ อุกฤษฐศักดิ์ อุภัยปักษนาวิล อสัมภินชาติพิสุทธิ มหามกุฎราชพงศบริพัตร มงคลสมัยสมากร
สถาวรจรัจฉริยคุณ อดุลยราชกุมาร”
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ โดยไม่มีพระราชโอรส สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ฯ กรมหลวงสุโขทัย จึงได้รับอัญเชิญขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ตามที่ปรากฏในพระราชหัตถเลขานิติกรรม โดยมีการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๘๑ แต่ทรงเริ่มรักษาราชสมบัติตั้งแต่วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ ซึ่งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกก็ได้สถาปนาขึ้นและประกอบพระราชพิธีตามแบบจารีตประเพณีโบราณ เช่นที่เคยประกอบขึ้นในครั้งรัชกาลก่อนๆ แต่มีรายละเอียดปลีกย่อยต่างไปบ้างหรือมีการเพิ่มเติมปรับปรุงขึ้นใหม่เล็กน้อย
๑ สมัยนั้นหลังสงกรานต์แล้วจึงจะขึ้นปีใหม่ หรือขึ้นพ.ศ.ใหม่ ดังนั้น วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๘ จึงเป็นท้ายปี พ.ศ. ๒๔๖๘ ไม่นับเป็นต้นปีถัดไป คือไม่นับเป็นต้นปี พ.ศ. ๒๔๖๙
การเตรียมประกอบพระราชพิธีก่อนวันพระฤกษ์บรมราชาภิเษก
การเตรียมการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในรัชกาลที่ ๗ นี้ ดำเนินการระหว่างวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ เรื่อยมา คือ
วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๘ (๒๔๖๙) ประกอบพระราชพิธีจารึกพระสุพรรณบัฏปรมาภิไธย จารึกดวงพระชนมพรรษา และแกะพระราชลัญจกรสำหรับแผ่นดินด้วยงากลึง ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม การพระราชพิธีก็เช่นเดียวกับครั้งรัชกาลก่อนๆ คือ มีพระสงฆ์ราชาคณะ ๑๐ รูปมาเจริญพระพุทธมนต์๑ โหรบูชาเทวดา
คืนวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ตั้งบายศรีแก้ว บายศรีทอง บายศรีเงิน สำรับใหญ่ พร้อมเครื่องสำหรับเวียนเทียนสมโภช และตั้งบายศรีทองและเครื่องสังเวย คือ มะพร้าวอ่อน หัวหมูสำหรับบูชาพระฤกษ์
เจ้าพนักงานที่จะจารึกพระสุพรรณบัฏ ดวงพระชนมพรรษา และพระราชลัญจกร๒ เริ่มดำเนินการเมื่อได้พระฤกษ์
มีพระยาโหราธิบดีลั่นฆ้องชัย พระสงฆ์สวดชัยมงคลคาถา พราหมณ์เป่าสังข์ เจ้าพนักงานประโคมดนตรี
ในวันนี้หัวเมือง (มณฑล) ต่างๆ ทุกมณฑล รวม ๑๗ มณฑล ๑๘ แห่ง ตั้งพิธีเสกน้ำพุทธาภิเษก เช่นเดียวกับรัชกาลที่ ๖ แต่ชื่อมณฑลมีเปลี่ยนแปลงไป คือ
- มณฑลอยุธยา ตั้งที่พระพุทธบาท
- มณฑลพิษณุโลก ตั้งที่วิหารพระพุทธชินราช วัดมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก และที่วัดมหาธาตุ จังหวัดสวรรคโลก๓
- มณฑลนครชัยศรี ตั้งที่พระปฐมเจดีย์
- มณฑลนครศรีธรรมราช ตั้งที่พระมหาธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช
- มณฑลพายัพ ตั้งที่พระธาตุหริภุญไชย วัดพระมหาธาตุ จังหวัดลำพูน
- มณฑลอุดร ตั้งที่พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม
- มณฑลมหาราษฎร์ ตั้งที่พระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่
- มณฑลร้อยเอ็ด ตั้งที่บึงพระลานชัย จังหวัดร้อยเอ็ด
- มณฑลราชบุรี ตั้งที่วัดพระมหาธาตุ จังหวัดเพชรบุรี
- มณฑลนครสวรรค์ ตั้งที่วัดพระบรมธาตุ จังหวัดชัยนาท
- มณฑลปราจีน ตั้งที่วัดโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา
- มณฑลนครราชสีมา ตั้งที่วัดกลาง จังหวัดนครราชสีมา
- มณฑลอุบล ตั้งที่วัดศรีทอง จังหวัดอุบลราชธานี
- มณฑลจันทบุรี ตั้งที่วัดพลับ จังหวัดจันทบุรี
- มณฑลสุราษฎร์ ตั้งที่วัดพระมหาธาตุ จังหวัดไชยา
- มณฑลปัตตานี ตั้งที่วัดตานีนรสโมสร จังหวัดปัตตานี
- มณฑลภูเก็ต ตั้งที่วัดพระทอง จังหวัดถลาง
ตามมณฑล๔ มีการประกอบพิธีเสกน้ำเวียนเทียนสมโภช เมื่อเสร็จแล้วก็จัดส่งมายังกรุงเทพฯ ตั้งในอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ส่วนในกรุงเทพฯ นั้น เริ่มเตรียมการตั้งแต่วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๘ (๒๔๖๙) โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินออกพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลประจำวัน แล้วเสด็จฯ ไปยังหอพระธาตุมณเฑียร พระวิมานบนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เพื่อกราบถวายบังคมพระบรมอัฐิของบูรพมหากษัตริยาธิราชและพระบรมศพ ก่อนเสด็จเข้าพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เจ้าพนักงานจัดเตรียมตกแต่งสถานที่ต่างๆ ที่จะใช้ประกอบพระราชพิธีในพระมหามณเฑียร เช่น พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระที่นั่งไพศาลทักษิณ และพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน รวมทั้งการจัดโรงพระราชพิธีพราหมณ์ที่ข้างพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยด้วย โดยเริ่มจัดในวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันตั้งน้ำวงด้าย โดยจัดเตรียมเหมือนที่เคยปฏิบัติในรัชกาลที่ ๖
การประกอบพิธีเบื้องต้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปนมัสการบูชาพระสัมพุทธพรรณี และพระพุทธมณีรัตนปฏิมากรน้อย ที่พระที่นั่งบุษบกมาลา ในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย และเสด็จไปสดับพระสงฆ์ราชาคณะเจริญพระพุทธมนต์ในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ตลอดจนบูชาพระสยามเทวาธิราช พระสตปฎลเศวตฉัตร ที่พระที่นั่งอัฐทิศและที่พระที่นั่งภัทรบิฐ จากนั้นประทับพระราชบัลลังก์ให้พระราชครูวามเทพมุนี (หว่าง รังสีพราหมณกุล) เจ้ากรมพราหมณ์พิธี ถวายน้ำพระมหาสังข์ ตั้งแต่วันที่ ๒๑-๒๔ กุมภาพันธ์ ปีที่มีพระราชพิธีพิเศษคือในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ มหาดเล็กตั้งเครื่องเสวยตามสถานที่ต่างๆ ๑๗ แห่ง เช่นครั้งรัชกาลที่ ๖ แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกพระที่นั่ง
อมรินทรวินิจฉัย จุดเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระธรรมที่แท่นเตียงสวด จุดเทียนเท่าพระองค์ ทรงจุดเทียนนมัสการพระ ทรงจุดเทียนชนวนด้วยไฟฟ้า พระราชทานพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา เสด็จไปทรงจุดเทียนในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้วเสด็จขึ้นพระที่นั่งไพศาลทักษิณ มีเจ้ากรมพระตำรวจหลวงนำเสด็จ ๔ นาย๕ พระยามานพนริศร์ (ทองเจือ ทองเจือ) เชิญพระแสงฝักทองเกลี้ยงตามเสด็จทรงจุดเทียนเครื่องนมัสการที่หน้าพระแท่นมณฑล จุดเทียนธูปเครื่องบูชาที่โต๊ะพระสยามเทวาธิราช จุดเทียนบูชาพระที่นั่งอัฐทิศและพระที่นั่งภัทรบิฐ พระสาสณโสภณ (เจริญ ญานวร) วัดเทพศิรินทราวาส อ่านประกาศเทวดา พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ พระราชครูวามเทพมุนี เจ้าการพราหมณ์พิธี ถวายน้ำพระมหาสังข์ พราหมณ์เป่าสังข์แล้วถวายใบไม้สมิทธ ๓ อย่าง พันด้วยผ้าขาว สำหรับทรงจับปัดพระองค์ คือ ใบมะม่วง ๒๕ ใบ ใบทอง ๓๒ ใบ ใบตะขบ ๙๖ ใบ แล้วพราหมณ์พระราชครูวามเทพมุนีรับพระราชทานกลับไปกระทำศาสตรปุณยาชุบโหมเพลิงยังโรงพระราชพิธี
ราชบัณฑิต บูชาทิศ ณ พระที่นั่งอัฐทิศทั้ง ๘ ทิศ มีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา ทรงบูชาทิศหลวง โหรบูชาเทวดาอภิไทโภธิบาทว์ และบูชานพเคราะห์ จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ทรงจุดเทียนเครื่องนมัสการแก้วเจียระไนทรงพระมหามงคล และสดับพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ เสร็จแล้วทรงเปลื้องพระมหามงคล แล้วเสด็จออกประทับพระที่นั่งไพศาลทักษิณ และพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทรงจุดเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระธรรมที่พระแท่นเตียงสวดภาณวาร พระราชาคณะนั่งปรกและสวดภาณวาร ระหว่างนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ปฐมจุลจอมเกล้าวิเศษแด่พระมเหสี หม่อมเจ้ารำไพพรรณี๖ แล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินกลับพระที่นั่งบรมพิมาน
ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๔ กุมภาพันธ์ ได้ทรงประกอบพระราชพิธีเหมือนเช่นวันที่ ๒๓ ที่พิเศษคือในตอนเย็นระหว่างที่ทรงสดับพระราชาคณะเจริญพระพุทธมนต์และสวดภาณวารที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่ง มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก แด่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัติวงศ์
๑ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา ทรงจุดเทียนนมัสการแทนรัชกาลที่ ๗ และการนี้ประธานคณะสงฆ์ที่มาเจริญพระพุทธมนต์ คือ พระธรรมวโรดม เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
๒ จางวางโทพระยามหารามราช (ม.ร.ว.จำนง นพวงศ์ ณ อยุธยา) จารึกพระสุพรรณบัฏ อำมาตย์ตรีพระญาณวิจิตร (สิทธิ์ โลจนานนท์) จารึกดวงพระชนมพรรษา และว่าที่รองเสวกตรี จำรัส ทิพโยธา แกะพระราชลัญจกร (เป็นช่างแกะของกรมศิลปากร)
๓ ปัจจุบันเป็นอำเภอในจังหวัดสุโขทัย
๔ มณฑลที่ถูกยุบไปในรัชกาลที่ ๖ คือ มณฑลอีสาน มณฑลชุมพล และมณฑลเพชรบูรณ์ มณฑลกรุงเก่าเปลี่ยนเป็นมณฑลอยุธยา มณฑลที่ตั้งใหม่คือมณฑลสุราษฎร์ และมณฑลอุบล
๕ เจ้ากรมพระตำรวจหลวง ๔ นาย คือ พระยามหาเทพ (เจ๊ก รัตนทัศนีย์) พระยามหามนตรี (นนท์ บุณยรัตพันธุ์) พระอินทรเทพ (คุ้น พหลโยธิน) พระพิเรนทรเทพ (เทียน เกตุทัต)
๖ หลังจากเสร็จจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์แล้ว จึงมีพระราชพิธีสถาปนาพระมเหสีขึ้นเป็นสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
การประกอบพระราชพิธีในวันพระฤกษ์บรมราชาภิเษก
วันประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในรัชกาลที่ ๗ นี้ตรงกับวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๔ ปีฉลู สัปตศก
ในเช้าวันนี้ได้เสด็จพระราชดำเนินจากพระที่นั่งบรมพิมานโดยกระบวนราบ ไปยังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทรงจุดเทียนเครื่องนมัสการพระ แล้วเสด็จขึ้นประทับพระที่นั่งไพศาลทักษิณ เจ้าพนักงานสังฆมนตรีอาราธนาพระสงฆ์ ๕ รูป๑ เข้านั่งอาสนะในพระที่นั่งไพศาลทักษิณที่จะประกอบพระราชพิธีทรงรับน้ำอภิเษกบนพระที่นั่งอัฐทิศ คือ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ ญาณฺจนฺนท) สมเด็จพระวันรัต (จ่าย ปุณฺณทตฺต) สมเด็จพระพุฒาจารย์ (แพ ติสฺสเทว) พระพรหมมุนี (แย้ม อุปวิภาส) เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดเทียนเครื่องนมัสการ สมเด็จพระสังฆราชเจ้าถวายศีลแล้ว เสด็จขึ้นหอพระสุราลัยพิมาน ผลัดพระภูษาจากเครื่องทรงเต็มยศทหารเรือ เป็นทรงเศวตพัสตร์สพักขาวขลิบทองนพคุณ เมื่อได้พระฤกษ์ โหรบูชาเทวดาพระฤกษ์ที่ศาลทั้ง ๕ ศาล ณ พระมณฑปพระกระยาสนาน แล้วพระราชครูวามเทพมุนี เจ้ากรมพราหมณ์พิธี กราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จสรงน้ำมูรธาภิเษก โดยมีริ้วกระบวนนำเสด็จตามราชประเพณี ๖ คู่ แต่พราหมณ์ที่อยู่ในกระบวนนั้นมีชื่อและราชทินนามต่างกันไปจากเดิมบ้าง
คู่ที่ ๑ | - | พราหมณ์อัญเชิญพระพิฆเนศ (ซ้าย) |
หลวงเทพาจารย์ (มี วสุพราหมณ์) | ||
- | ราชบัณฑิตอัญเชิญพระชัยนวโลหะ (ขวา) | |
หม่อมเจ้าพร้อมในกรมหมื่นภูมินทรภักดี | ||
คู่ที่ ๒ | - | พราหมณ์เป่าสังข์อุตราวัฏ (ซ้าย) |
พราหมณ์สุก โกมลเวทิน | ||
- | พราหมณ์เป่าสังข์อุตราวัฏ (ซ้าย) | |
พราหมณ์ลไม รัตนพราหมณ์ | ||
คู่ที่ ๓ | - | พราหมณ์เป่าสังข์อุตราวัฏ (ซ้าย) |
พราหมณ์เผย เศตะพราหมณ์ | ||
- | พราหมณ์เป่าสังข์อุตราวัฏ (ซ้าย) | |
พราหมณ์ตาด จารุเสน | ||
คู่ที่ ๔ | - | พราหมณ์เป่าสังข์ทักขิณาวัฏ (ขวา) |
หลวงสุริยาเทเวศร (สด สตะเวทิน) | ||
- | พราหมณ์เป่าสังข์ทักขิณาวัฏ (ขวา) | |
พระครู สตานันทมุนี (แขก นาคเวทิน) | ||
คู่ที่ ๕ | - | พราหมณ์โปรยข้าวตอก (ซ้าย) |
หลวงราชมุนี (สวาสดิ์ รังสิพราหมณกุล) | ||
- | พราหมณ์โปรยข้าวตอก (ขวา) | |
พระครูอัษฎาจารย์ (ปลอด สวัสดิเวทิน) | ||
คู่ที่ ๖ | พระสิทธิชัยบดี (วิน ศิริพราหมณกุล) | |
เจ้ากรมพราหมณ์พฤฒิบาศ | ||
- | พระราชครูวามเทพมุนี | |
เจ้ากรมพราหมณ์พิธี |
ที่พระมณฑปพระกระยาสนาน ทรงจุดเทียนสังเวยเทวดา กลางหาว แล้วเสด็จประทับตั่งไม้อุทุมพร ทรงเหยียบใบไม้ตะขบ๒ หันพระพักตร์สู่ทิศอีสาน อันเป็นทิศมงคล พระยาโหราธิบดีลั่นฆ้องชัย พนักงานประโคมสังข์แตร ดุริยดนตรี ทหารกองแก้วจินดายิงปืนมหาฤกษ์ มหาชัย มหาจักร มหาปราบ เป็นพระฤกษ์ พระยาอุทัยธรรมถวายเครื่องพระกระยาสนานและไขสหัสธารา พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นชินวรสิริวัฒน์ ถวายน้ำพระพุทธมนต์ด้วยพระครอบพระกริ่งที่พระอังษาและพระหัตถ์ จากนั้นพระบรมวงศ์พราหมณ์ขึ้นถวายน้ำจากพระเต้าต่างๆ เช่น พระเต้าเบญจครรภน้อย พระเต้าหยก พระเต้าน้ำพระพุทธมนต์ พระเต้าปทุมนิมิตร ทอง เงิน นาก พระเต้านพเคราะห์ รวม ๕ ท่าน๓ พราหมณ์ถวายน้ำพระมหาสังข์และพระครอบ แล้วเสด็จขึ้นหอพระสุลาลัยพิมาน ผลัดพระภูษา ทรงเครื่องบรมราชภูษิตาภรณ์ เสด็จออกพระที่นั่งไพศาลทักษิณ โดยหม่อมเจ้าพร้อมและหลวง
เทพาจารย์อัญเชิญพรชัยนวโลหะและพระพิฆเนศนำเสด็จเบื้องขวาและเบื้องซ้าย แล้วประทับพระที่นั่งอัฐทิศภายใต้พระบวรเศวตฉัตร ๗ ชั้น หันพระพักตร์สู่ทิศตะวันออก (บูรพา) อันเป็นมงคล พระยาอุทัยธรรมทูลเกล้าฯ ถวายพระเต้าเบญจครรภสำหรับทรงรับน้ำอภิเษกจากราชบัณฑิตและพราหมณ์ที่จะถวายน้ำพระมหาสังข์ตามทิศต่างๆ ทั้ง ๘ ทิศ เพื่อทรงจิบและลูบพระพักตร์ โดยมีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา ราชบัณฑิตประจำทิศตะวันออก กราบบังคมทูลถวายน้ำอภิเษกเป็นภาษามคธ๔ แล้วกล่าวแปลเป็นภาษาไทย แล้วทรงมีพระราชดำรัสตอบเป็นภาษามคธ แล้วแปลเป็นภาษาไทย พราหมณ์เป่าสังข์แล้วพระราชครูวามเทพมุนีถวายน้ำพระมหาสังข์ พระสิทธิไชยบดีถวายน้ำพระครอบสำริดแล้วคลานเวียนตามไปถวายทุกทิศ เมื่อทรงรับน้ำแล้วพราหมณ์เป่าสังข์แล้วหันพระองค์ไปยังทิศต่อไปโดยเวียนทักขิณาวัฏให้ราชบัณฑิตและพราหมณ์ทิศต่างๆ ทูลเกล้าฯ ถวายน้ำเหมือนอย่างเช่นทิศตะวันออกจนครบแปดทิศ ซึ่งราชบัณฑิตและพราหมณ์แต่ละทิศ คือ
ทิศบูรพา (ตะวันออก)
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา ราชบัณฑิต พระราชครูวามเทพมุนีพราหมณ์
ทิศอาคเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้)
หลวงธรรมนิเทศทวยหาญ (อยู่ อุดมศิลป์) ราชบัณฑิต พระครูอัษฎาจารย์ (ปลอด สวัสดิเวทิน) พราหมณ์
ทิศทักษิณ (ใต้)
พระยาวิจิตรธรรมปริวัตร (คำ พรหมกสิกร) ราชบัณฑิต พระครูสตานันทมุนี (แขก นาคเวทิน) พราหมณ์
ทิศหรดี (ตะวันตกเฉียงใต้)
พระราชาภิรมณ์ (แจ่ม บูรณะนนท์) ราชบัณฑิต หลวงเทพมุนี (เรือง รังสิพราหมณกุล) พราหมณ์
ทิศปัจฉิม (ตะวันตก)
พระยามหารามราช (ม.ร.ว.จำนง นพวงศ์) ราชบัณฑิต หลวงราชมุนี (สวาสดิ รังสิพราหมณกุล) พราหมณ์
ทิศพายัพ (ตะวันตกเฉียงเหนือ)
พระญาณวิจิตร (สิทธิ โลจนานนท์) ราชบัณฑิต หลวงสุริยาเทเวศร (สด สตะเวทิน) พราหมณ์
ทิศอุดร (เหนือ)
เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ราชบัณฑิต พราหมณ์ นาค โกมลเวทิน พราหมณ์
ทิศอีสาน (ตะวันออกเฉียงเหนือ)
พระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษมณ์) ราชบัณฑิต พราหมณ์ ผล
เศตะพราหมณ์ พราหมณ์
เมื่อทรงผันพระองค์มายังทิศบูรพาอีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา ทรงกล่าวถวายพระพรอีกครั้งหนึ่ง เมื่อทรงมีพระราชดำรัสตอบแล้ว ได้เสด็จจากพระที่นั่งอัฐทิศโดยทักขิณาวัฏไปสู่พระที่นั่งภัทรบิฐ โดยมีริ้วกระบวนนำเสด็จ ๒ สายและกระบวนตามเสด็จ ๔ สาย อัญเชิญเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ เครื่องราชูปโภคและพระแสงอัษฎาวุธ ตามราชประเพณีที่เคยปฏิบัติมา จากนั้นพระราชครูวามเทพมุนีร่ายเวทสรรเสริญไกลาสจบแล้ว พราหมณ์เป่าสังข์ ๓ ลา แล้วจึงกราบบังคมทูลเฉลิมพระปรมาภิไธย ถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ เครื่องบรมราชาภรณ์ และเครื่องประดับอิสริยยศด้วยภาษามคธและแปลเป็นภาษาไทย ทรงมีพระราชดำรัสตอบ พราหมณ์เป่าสังข์ ลั่นฆ้องชัย ประโคมดนตรี ขับไม้บัณเฑาะว์ แตรวงทหารบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ยิงปืน มหาฤกษ์ มหาชัย มหาจักร มหาปราบยุค อีก ๑๙ นัด ตามกำลังวัน ทหารบก ทหารเรือยิงปืนใหญ่เฉลิมพระเกียรติ แห่งละ ๑๐๑ นัด พระสงฆ์ตามพระอารามย่ำระฆังถวายพระพรชัยมงคลอารามละ ๗ ลา แล้วผู้เชิญเครื่องในกระบวนตามเสด็จ ๔ สาย ทั้ง ๗ คู่ เชิญเครื่องส่งให้พระราชครูวามเทพมุนีทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรวม ๑๙ รายการ ตามลำดับตั้งแต่พระสุพรรณบัฏ พระสังวาลพราหมณ์ธุรำ พระสังวาลนพรัตนราชวราภรณ์ พระสังวาลพระนพ พระมหาพิชัยมงกุฎ และพระแสงขรรค์ชัยศรี เป็นต้น๕ ตามลำดับ ไปจนครบรวมทั้งพระเต้าทักษิโณทก แล้วจึงกล่าวถวายพระแสงอัษฎาวุธ เสร็จแล้วพระสิทธิชัยบดีกราบบังคมทูลถวายนพปฎลมหาเศวตฉัตรอันมีความหมายว่าให้พระองค์ทรงรับเป็นบรมราชาธิราชของประชาชนชาวไทย เมื่อทรงกล่าวรับแล้ว พระครูอัษฎาจารย์กล่าวอนุษฎกศิวมนตร์ หลวงราชมุนีกล่าวอนุษฎกวิษณุมนตร์ ถวายพระพรชัย พระราชครูวามเทพมุนีถวายชัย ทั้งภาษามคธและภาษาไทยอีกครั้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการอันเป็นคำปฏิญญาในการขึ้นครองราชย์ แล้วทรงตั้งสัตยาธิษฐานที่จะดำรงทศพิธราชธรรมตามพระราชประสงค์และทรงหลั่งพระเต้าทักษิโณทก และทรงโปรยดอกพิกุลทอง พิกุลเงิน และเงินสลึงแก่พราหมณ์เป็นครั้งแรก แล้วทรงเปลื้องพระมหาพิชัยมงกุฎ พระธำมรงค์วิเชียรจินดา และพระธำมรงค์รัตนวราวุธ เสด็จจากพระที่นั่งภัทรบิฐ พร้อมทั้งทรงโปรยดอกพิกุลทอง พิกุลเงิน และเงินสลึงไปตามทางด้วย เสด็จขึ้นพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน เพื่อทรงประเคนไทยธรรมแก่พระราชาคณะถวายอนุโมทนาและถวายอดิเรกแล้ว พระราชาคณะ ๓๐ รูป ได้ออกจากพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานไปสวดคาถาดับเทียนชัย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ดับเทียนชัย เป็นอันเสร็จพิธีสงฆ์
ในระหว่างประกอบพระราชพิธีนั้น ทางด้านนอกเจ้าพนักงานได้เทียบพระยาช้างต้นผูกเครื่องพร้อม และพระยาม้าต้นไว้ด้วยตามราชประเพณี
๑ พระราชาคณะที่ทรงนิมนต์มาประกอบพิธีสงฆ์มี ๓๕ รูป นั่งอาสนะในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ๕ รูป ส่วนอีก ๓๐ รูปนั่งในพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน
๒ รัชกาลที่ ๖ ใช้ใบไม้กระถิน
๓ มีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต พระยาอุทัยธรรม พระยาอัพภันตริกามาตย์ (จ่าง ภานุทัต) และพระยาโหราธิบดี
๔ ในคำกราบบังคมทูลนี้ ใช้สรรพนามแทนองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า “เทว” คือ เทวดาอันแสดงให้เห็นถึงลัทธิเทวราชาที่ปรากฏในพระราชประเพณีของไทยแต่โบราณ
๕ ต่อจากนี้มีธารพระกร พัดวาลวิชนี พระแส้จามรี พระแส้หางช้างเผือก พระธำมรงค์วิเชียรจินดา พระธำมรงค์รัตนวราวุธ ฉลองพระบาท พระแสงฝักทองเกลี้ยง ธารพระกรเทวรูป พระสุพรรณศรีบัวแฉก พานพระขันหมาก พระมณฑป และพระเต้าทักษิโณทก
เสด็จออกมหาสมาคมและสถาปนาสมเด็จพระบรมราชินี
เวลาบ่าย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงถือพระแสงขรรค์ชัยศรี เสด็จออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยประทับพระแท่นมหาเศวตฉัตร ทรงพระมหาพิชัยมงกุฎและฉลองพระบาท ให้พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้า ผู้แทนพระราชาธิบดีและประธานาธิบดี คณะทูตานุทูต และข้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพร โดยมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาภานุพันธ์วงศ์วรเดช ทรงเป็นปรระธานกราบบังคมทูลพระกรุณาแสดงความจงรักภักดีและถวายพระพรชัย ทรงมีพระบรมราชโองการดำรัสตอบขอบใจทั่วกัน แล้วเสด็จขึ้นพระที่นั่งไพศาลทักษิณประทับพระที่นั่งภัทรบิฐให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายในเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท แล้วมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระดำรงราชานุภาพ (พระยศในครั้งนั้น) เสนาบดีกระทรวงมุรธาธร อ่านประกาศกระแสพระบรมราชโองการทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาหม่อมเจ้ารำไพพรรณี ขึ้นเป็นสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี จบแล้วทรงหลั่งน้ำพระมหาสังข์ ทรงเจิมพระราชทานสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ มหาจักรีบรมราชวงศ์ กับเครื่องราชอิสริยาภรณ์นพรัตนราชวราภรณ์อันเป็นโบราณมงคล และเครื่องราชูปโภคสำหรับตำแหน่งอัครมเหสี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา ทรงรับฉันทามุมัติ กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยแทนในนามของสตรีสันนิบาต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอบ แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินี โดยทรงโปรยดอกพิกุลเงิน พิกุลทอง และเงินสลึงตามทางเสด็จ
ประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภก
เวลาเย็น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปบูชาพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม รวมทั้งทรงจุดเทียนและถวายต้นไม้ทองต้นไม้เงินบูชาพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระคัมภีร์ แล้วสมเด็จพระสังฆราชเจ้าถวายศีล ทรงศีลแล้วทรงประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภก สมเด็จพระราชาคณะทั้ง ๘๐ รูปกล่าวสาธุพร้อมๆ กัน ๓ ครั้ง สมเด็จพระสังฆราชเจ้าถวายอดิเรก แล้วสมเด็จพระวันรัตถวายพระพรลามายังอาสนะสงฆ์ในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมายังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงเครื่องทองน้อย เครื่องราชสักการะ ถวายบังคมพระบรมอัฐิและพระบรมศพและทรงทอดผ้าไตร ผ้าขาว สดับปกรณ์ แล้วเสด็จกลับ มีกระบวนข้างใน เชื้อพระวงศ์เชิญเครื่องตามเสด็จ มีพระแสงขรรค์ชัยศรี พานพระศรี พรานพระรัตนกรัณฑ์และพานพระกล้อง
เฉลิมพระราชมณเฑียร
ตอนเย็น เจ้าพนักงานตั้งบายศรีแก้ว บายศรีทอง บายศรีเงิน ในพระที่นั่ง
อมรินทรวินิจฉัย เพื่อเวียนเทียนสมโภชพระราชมณเฑียรตามขัตติยราชประเพณี ในเวลาใกล้ค่ำพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินขึ้นประทับพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน มีพระราชวงศ์ฝ่ายในเชิญเครื่องเฉลิมพระราชมณเฑียร และเครื่องราชูปโภคตามเสด็จ เมื่อถึงพระฤกษ์ ชาวประโคมลั่นฆ้องชัย ประโคมแตรสังข์ ดุริยางค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับบนพระแท่นบรรทม สมเด็จพระมาตุจฉาเจ้า พระบรมราชเทวี ถวายพระแส้ หางช้างเผือก พระนางเจ้าสุขุมาลย์มารศรี พระราชเทวี ถวายจั่นหมากทอง ท้าววรคณานันท์ (ม.ร.ว.ปั๋ม มาลากุล) ถวายกุญแจทอง ทรงรับวางข้างพระที่ แล้วสมเด็จพระมาตุจฉาเจ้าฯ และพระนางเจ้าฯ พระราชเทวี ถวายพระพรชัยมงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเอนพระองค์เป็นพระฤกษ์
บุคคลคณะต่างๆ เข้าเฝ้าถวายพระพร
ในวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ เวลา ๑๖.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ณ ห้องด้านตะวันออกในพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เพื่อให้มหาอำมาตย์เอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไตรทศประพันธ์ เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ เบิกเอกอัครราชทูตพิเศษที่มาช่วยงานแทนพระองค์พระราชาธิบดี และแทนประธานาธิบดีนานาประเทศเข้าเฝ้าคราวละนายตามลำดับรวม ๙ ประเทศ๑ จากนั้นเสด็จออกท้องพระโรงกลางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท มีเสนาบดีกระทรวงวัง ราชเลขานุการฝ่ายต่างประเทศ สมุหราชองครักษ์ อธิบดีกรมมหาดเล็ก ฯลฯ โดยเสด็จเสนาบดีว่าการกระทรวงต่างประเทศนำคณะทูตานุทูตต่างปนะเทศเฝ้าพร้อมกัน เอกอัครราชทูตเนเธอแลนด์ผู้เป็นหัวหน้ากราบยังคมทูลถวายพระพรชัย มีพระราชดำรัสตอบและทรงมีพระราชปฏิสันฐานบรรดาผู้มาเฝ้า แล้วเสด็จขึ้น
เวลา ๑๗.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการฝ่ายในและภรรยา ข้าทูลละอองธุลีพระบาททูลเกล้าฯ ถวายดอกไม้ธูปเทียน
แล้วเสด็จออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ให้พระบรมวงศานุวงศ์กับข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายเสนาอำมาตย์ทูลเกล้าฯ ถวายดอกไม้ธูปเทียน
ทรงจุดเทียนทองเทียนเงินบนพระที่นั่งบุษบกมาลาและเครื่องนมัสการพระแล้วพระราชทานสัญญาบัตรตั้งพระราชาคณะเป็นปฐมฤกษ์ ๓ รูป คือ ๑. พระครูประทุมธรรมธาดา (หนู) เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม เป็นพระปัญญาพิศาลเถระ คณะธรรมยุตติกนิกาย ๒. พระมหาพร วัดประยุรวงศาวาส เป็นพระปิฎกโกศล คณะมหานิกาย ๓. พระมหาคง วัดสนาม จังหวัดนนทบุรี เป็นพระธรรมวิสารทะ คณะรามัญ แล้วพระราชาคณะ ๑๐ รูป มีสมเด็จพระสังฆราชเจ้าเป็นประธานสวดชยันโต พระสาสนโสภณ วัดเทพศิรินทราวาสขึ้นนั่งบนพระแท่นภายใต้พระมหาเศวตฉัตร ถวายศีลศักราช ถวายพระธรรมเทศนามงคลสูตร รัตนสูตร กรณียเมตตสูตร รามเป็นกัณฑ์เดียวกันจบ แล้วถวายยะถา พระฐานานุกรมเปรียญ ๔ รูป รับสัพพีแล้วทรงประเคนผ้าไตร ใบวัตถุปัจจัย เครื่องไทยธรรมกัณฑ์เทศน์และธูปเทียนแก่พระรับสัพพี พระสาสนโสภณถวายอดิเรก ถวายพระพรลา แล้วเสด็จขึ้น
วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ เวลา ๑๖.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกประทับพระราชอาสน์ ท้องพระโรงกลางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท มหาอำมาตย์นายก เจ้าพระยายมราช เสนาบดี กระทรวงมหาดไทย นำผู้ที่เป็นหัวหน้าในคณะพ่อค้า ประชาชนคณะต่างๆ รวม ๑๐ คณะ๒ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท กราบบังคมทูลพระกรุณาแสดงความจงรักภักดี ถวายพระพรชัยมงคล ทรงมีพระราชดำรัสตอบแล้วเสด็จขึ้น
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ให้สตรีบรรดาศักดิ์ทูลเกล้าฯ ถวายดอกไม้ธูปเทียน
เสด็จออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายราชเสวก ทูลเกล้าฯ ถวายดอกไม้ธูปเทียน
สมเด็จพระสังฆราชเจ้าขึ้นประทับบนพระแท่นใต้พระมหาเศวตฉัตร ถวายพระธรรมเทศนา เทวดาพิสนกถาทศพิธราชธรรม และจักกวัตติวัตตรวมเป็นกัณฑ์เดียว จบแล้วถวายยะถา พระฐานานุกรม ๔ รูปรับสัพพี ทรงประเคนผ้าไตรในวัตถุปัจจัย เครื่องไทยธรรมกัณฑ์เทศน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้าถวายอดิเรก ถวายพระพรลา
๑ มีจากประเทศเยอรมันนี สหรัฐอเมริกา เบลเยียม เดนมาร์ก ฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี ญี่ปุ่น และเนเธอร์แลนด์
๒ มีคณะนักพรตโรมันคาทอลิก คณะเปรสบิเตียเรียน สภาสากลพาณิชย์ คณะชนชาติญี่ปุ่น คณะพ่อค้าจีน คณะพ่อค้าอิสลาม คณะพ่อค้าสิกข์ คณะชาวฮินดู คณะดาวูดี โบหรามหะหมัด และคณะพ่อค้าไทย
พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการไทยและต่างประเทศ ตลอดจนพ่อค้าคหบดีทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
ของที่ระลึกในงาน
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างของที่ระลึกพระราชทานชำร่วยแก่พระเถรานุเถระและพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการไทยและต่างประเทศ ตลอดจนพ่อค้าคหบดีทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
- เหรียญบรมราชาภิเษก แถบแพรริ้วเหลืองกับเขียวสลับกัน มีเหรียญทอง เหรียญเงิน เหรียญกาไหล่ทอง เหรียญกาไหล่เงิน ตามฐานันดรศักดิ์ เฉพาะพระสงฆ์ได้รับพระราชทานเหรียญทองแดง
- ดอกพิกุลทอง ดอกพิกุลเงิน
- หนังสืออธิบายลักษณะงานพระราชพิธีเป็นภาษาอังกฤษสำหรับพระราชทานชาวต่างประเทศ
วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๘ เสด็จออกเพื่อ
สักการะพระบรมอัฐิ เวลาบ่ายห้าโมงเย็น
ทรงเครื่องขาว
ฉลองพระองค์รัชกาลที่ ๗ ระหว่างการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
วันแรก
วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๘
เสด็จออกเพื่อสักการะพระบรมอัฐิ เวลาบ่ายห้าโมงเย็น
ทรงเครื่องขาว
วันที่สอง
วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๘
เวลาเย็น
ทรงเครื่องครึ่งยศทหารบก
วันที่สาม
วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๘
เวลาเช้า
ทรงเครื่องครึ่งยศทหารบก ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์
เวลาเย็น
ทรงเครื่องเต็มยศจอมพลทหารบก ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ทรงสายสะพายมหาวชิรมงกุฎ
วันที่สี่
วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๘
เวลาเช้า
ทรงเครื่องครึ่งยศทหารเรือ ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์
เวลาเย็น
ทรงเครื่องเต็มยศทหารม้านครราชสีมา ทรงสายสะพายมหาปรมาภรณ์ ช้างเผือก ทรงพระคธาจอมพล
วันที่ห้า
วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๘
เวลาเช้า
ทรงเครื่องครึ่งยศทหารบก ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์
เวลาเย็น
ทรงเครื่องเต็มยศทหารปืนใหญ่ ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ทรงสายสะพายจักรีบรมราชวงศ์
วันพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๘
เวลาเช้า
ทรงพระเครื่องเต็มยศทหารเรือ ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ทรงสายสะพายนพรัตนราชวราภรณ์ เพื่อเสด็จสู่พระมณฑปพระกระยาสนานสรงมูรธาภิเษก แล้วผลัดพระภูษาเพื่อเสด็จสู่พระที่นั่งอัฐทิศ โดยทรงเครื่องบรมราช
ภูษิตาภรณ์ สำหรับพระบรมราชาภิเษกสีน้ำเงินตามสีพิชัยสงครามวันพฤหัสบดี
เวลาบ่าย
เสด็จออกมหาสมาคม ทรงเครื่องบรมราชภูษิตาภรณ์ ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ทรงฉลองพระองค์ครุยเหมือนตอนเช้า ทรงพระแสงขรรค์ชัยศรี ประทับบนพระแท่นมหาเศวตฉัตร ทรงพระมหาพิชัยมงกุฎและฉลองพระบาท เสด็จประทับพระที่นั่งภัทรบิฐ ให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายในเฝ้า ทรงพระชฎามหากฐิน และทรงพระแสงขรรค์นวโลหะ
เสด็จเลียบพระนครด้วยกระบวนพยุหยาตราสถลมารค
วันที่ ๑ มีนาคม
ทรงเครื่องบรมราชภูษิตาภรณ์ ทรงสายสะพายจักรีบรมราชวงศ์ ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พระสังวาลนพรัตน สวมฉลองพระองค์ครุยกรองทองชั้นนอก ทรงพระชฎามหากฐินน้อย
เสด็จเลียบพระนครด้วยกระบวนพยุหยาตราชลมารค
วันที่ ๓ มีนาคม
ทรงเครื่องบรมราชภูษิตาภรณ์ ทรงสายสะพายนพรัตนราชวราภรณ์ อันเป็นโบราณมงคล ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ฉลองพระองค์ครุย พระสังวาลปฐมจุลจอมเกล้าทรงพระมหามาลาเส้าสูงสีเขียว เมื่อลงประทับในเรือพระที่นั่ง ทรงเปลื้องพระมหามาลา และทรงพระชฎามหากฐินน้อย
ในวันที่ ๓ มีนาคม ๒๔๖๘
การเสด็จเลียบพระนคร
หลังจากที่ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้วจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้มีหมายกำหนดการเสด็จเลียบพระนคร ด้วยกระบวนพยุหยาตราสถลมารค ในวันที่ ๑ มีนาคม ๒๔๖๘ เพื่อทรงนมัสการปูชนียวัตถุในวัดบวรนิเวศวิหารและวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และเสด็จเลียบพระนครด้วยกระบวนพยุหยาตราชลมารค ในวันที่ ๓ มีนาคม ๒๔๖๘ เพื่อทรงนมัสการปูชนียวัตถุ ณ วัดอรุณราชวราราม๑ แล้วเป็นอันเสร็จงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในรัชกาลที่ ๗ กระบวนครั้งนี้มีเรือที่ปัจจุบันมิเคยได้ยินชื่อเป็นเรือพระที่นั่งรอง คือ เรือทวยเทพถวายกร ครั้งนั้น ตั้งบัลลังก์กัญญา กับเรือพระที่นั่งประดิษฐานพระพุทธรูป ชื่อเรือประภัศรชัยตั้งบุษบกทั้งสองลำนี้จะมีรูปร่างอย่างไรหาทราบไม่
๑ พระยาประกาศอักษรกิจ (เสงี่ยม รามนันทน์), พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เฉลิมพระราชมณเฑียร ปีฉลู สัปตศก พ.ศ. ๒๔๖๘ คณะวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม พิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศลในการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ ณ พระเมรุมาศท้องสนามหลวง วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๒๘, หน้า ๔๓-๔๕