

บทนำ
การประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีขึ้นในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๓ และได้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภชอีกครั้งใน พ.ศ. ๒๔๕๔ โดยมีการเริ่มเตรียมการประกอบพระราชพิธีในด้านต่างๆ ตั้งแต่วันที่ ๓ พฤศจิกายน เรื่อยมา เช่น จารึกพระสุพรรณบัฏ จารึกดวงพระชนมพรรษาและแกะพระราชลัญจกร การเตรียมสถานที่ต่างๆ ทั้งที่พระที่นั่งต่างๆ พระมณฑป โรงพระราชพิธีพราหมณ์ เป็นต้น โดยจัดขึ้นตามแบบแผนราชประเพณีที่เคยปฏิบัติมา


การจารึกพระสุพรรณบัฏ
เจ้าพนักงานได้เตรียมสถานที่ที่จะจารึกพระสุพรรณบัฏ ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามในวันที่ ๓ พฤศจิกายน โดยเตรียมตั้งโต๊ะจำหลักปิดทองบนธรรมมาสน์ศิลาหน้าบุษบก พระมหามณีรัตนปฏิมากร ๓ โต๊ะ คือ โต๊ะสำหรับตั้งพานทองสองชั้นสำรับใหญ่รองแผ่นพระสุพรรณบัฏตรงกลาง โต๊ะสำหรับจารึกดวงพระชนมพรรษาด้านขวาและโต๊ะสำหรับแกะพระราชลัญจกรด้านซ้าย และตั้งเครื่องนมัสการทองใหญ่กับพระแท่นทรงกราบ ด้านหน้าธรรมาสน์ศิลาตั้งอาสนะสงฆ์ทางด้านเหนือ ส่วนที่ชาลาหน้าพระอุโบสถตั้งศาลบูชาเทวดา ๒ ศาล ซึ่งในตอนค่ำวันนั้นโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสมมตอมรพันธุ์ ทรงจุดเทียนเครื่องนมัสการ พระราชาคณะ ๑๐ รูป มีพระธรรมเจดีย์เป็นประธาน เจริญพระพุทธมนต์สตปริตร มีโหรบูชาเทวดา
รุ่งขึ้นวันที่ ๔ พฤศจิกายน อันเป็นวันจารึกพระสุพรรณบัฏมีการตั้งบายศรีแก้ว บายศรีทอง และบายศรีเงิน สำหรับเวียนเทียนสมโภชและตรงประตูหน้าพระอุโบสถตั้งบายศรีตองกับศีรษะสุกร ๑ คู่ บูชาฤกษ์ ในเวลาเช้าวันนี้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสมมตอมรพันธุ์ ทรงเป็นประธานพิธีประเคนอาหารบิณฑบาตแด่พระสงฆ์รับประทานฉันแล้วทรงจุดเทียนเครื่องนมัสการ ทรงศีลโดยผู้ที่จะจารึกนุ่งขาวห่มขาวรับศีล เมื่อใกล้พระฤกษ์ เจ้านายองค์ประธานทรงจุดเทียนทองเทียนเงินที่โต๊ะสำหรับจารึก และผู้ที่จะจารึก๑ นมัสการพระมหามณีรัตนปฏิมากรและบ่ายหน้าไปกราบถวายบังคมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วพาดด้ายสายสิญจน์ผันหน้าสู่ทิศอาคเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้)
เมื่อได้พระฤกษ์ หลวงโลกทีปลั่นฆ้องชัยให้สัญญาณเจ้าหน้าที่ทั้งสามเริ่มจารึก พระสงฆ์สวดชัยมงคลคาถา พราหมณ์เป่าสังข์เจ้าพนักงานประโคมแตรสังข์ พิณพาทย์ตลอดเวลาจนจารึกเสร็จจากนั้นหลวงเทพมุนี หลวงเทพาจารย์ ถวายน้ำสังข์ หลวงโลกทีป หลวงญาณเวท เจิมจุณ พราหมณ์ม้วนพระสุพรรณบัฏห่อแพรแดงพันด้วยไหมเบญจพรรณ บรรจุกล่องทองคำจำหลักลงยาราชาวดี อัญเชิญลงในถุงตาดระกำ โหรม้วนดวงพระชนมพรรษาพันห่อบรรจุกล่องและเก็บในถุงตาด เชิญลงรวมในหีบถมยาตะทอง ถุงตาดระกำด้านนอกประจำตรา เชิญประดิษฐานบนพานทองสองชั้นสำรับใหญ่คลุมด้วยผ้าตาดปักเลื่อม เชิญขึ้นตั้งบนโต๊ะทองหน้าธรรมาสน์ศิลา จากนั้นเวียนเทียนสมโภชและยังประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถจนถึงวันประกอบพระราชพิธี
สวดพระพุทธมนต์ในวันที่ ๘, ๙, ๑๐ พฤศจิกายน จุดเทียนพระมหามงคลและเทียนเท่าพระองค์ทุกวันอย่างละคู่ และตั้งเครื่องนมัสการพานทองใหญ่
๑พระยาศรีสุนทรโวหาร เจ้ากรมอาลักษณ์ จารึกพระปรมาภิไธยในแผ่นทองคำเนื้อแปดกว้าง ๗ นิ้ว ยาว ๑๔ นิ้ว หนักสองตำลึง พระมหาวิชาธรรม กรมราชบัณฑิต จารึกดวงพระชนมพรรษาในแผ่นทองคำเนื้อแปดกว้าง ๑๐ นิ้ว ยาว ๑๐ นิ้ว หนักสองตำลึง หลวงวิจิตรนฤมล เจ้ากรมช่างแกะพระราชลัญจกรประจำรัชกาล

พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย
- พระที่นั่งบุษบกมาลา ตั้งพระสัมพุทธพรรณีที่มุมพระที่นั่งบุษบกทั้ง ๔ มุม ปักเทียนทองเทียนเงินหนัก ๘ บาท มุมละ ๒ คู่ ที่เกรินสองข้างบุษบกตั้งพานทองสองชั้นสำรับใหญ่ปักพุ่มดอกไม้สด ๑ คู่ ในฐานบุษบกมีเทียนทองเทียนเงินหนัก ๘๐ บาท ๒ คู่ ตั้งโต๊ะจำหนักลายทองด้านหน้า พระที่นั่งบุษบกมีพานทองจัดดอกไม้สดตั้งตามลำดับชั้นหลั่นลงมา ตั้งเทียนพระมหามงคล ๑ คู่ เทียนเท่าพระองค์ในตู้ ๑ คู่ ตั้งต้นไม้ทอง ต้นไม้เงิน สองข้างพระที่นั่งบุษบกมาลาตั้งเครื่องนมัสการพานทองสองชั้น และพระแท่นทรงกราบ
- พระที่นั่งพุดตานทองคำกั้นพระมหาเศวตฉัตรตั้งบนเตียงลา บนพระที่นั่งพุดตานลาดหนังราชสีห์๑ สำหรับเป็นที่ประทับเสด็จออกทรงรับคำถวายชัยมงคล สองข้างพระที่นั่งตั้งโต๊ะทองสำหรับตั้งเครื่องราชูปโภค ที่มุมเตียงลาตั้งต้นไม้ทองต้นไม้เงินมุมละต้น หรือด้านละ ๑ คู่
- ด้านหน้าพระที่นั่งพุดตาน ตั้งเครื่องสูงหักทองขวางห้าชั้น ๓ คู่ ที่ผนังด้านเหนือสองข้างพระทวารกลางตั้งอีก ๑ คู่ ส่วนตรงพระที่นั่งตั้งเครื่องสูง ๗ ชั้น ๑ คู่ ส่วนที่ด้านหลังพระที่นั่งตั้งชุมสาย ๒ คู่
- ด้านตรงหน้าพระที่นั่งพุดตานหรือพระที่นั่งมหาเศวตฉัตร ซึ่งจะเป็นที่เสด็จออกให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทเฝ้า ตั้งเครื่องพานพระขันหมากสำรับใหญ่มีพระแสงง้าว พระแสงปืนทอดราวหลังพระราชบังลังก์
- พระสูตร เลื่อนสายมาติดด้านหน้าพระที่นั่งมหาเศวตฉัตร
- เตียงพระสงฆ์สวดภาณวาร ตั้งด้านเหนือชิดลับแล พระทวารกลาง หน้าเตียงสวดตั้งกระโจมเทียนชัย ด้านตะวันออกตั้งเตียงพระราชาคณะนั่งปรก
- อาสนะสงฆ์ ตั้งหน้าเสานอกเครื่องสูง และหลังเสาทั้งสองข้างรวม ๔ แถว
- เฉลียงด้านเหนือตั้งเก้าอี้พระบรมวงศานุวงศ์ เฉลียงด้านใต้สำหรับข้าราชการในพระราชสำนักและทหารมหาดเล็กยืนเฝ้าตรงกลางหน้าพระราชบังลังก์ตั้งเก้าอี้ข้าราชการ
- ตกแต่งเพดานพระที่นั่งด้วยพวงดอกไม้สดห้อยเป็น ๒ แถว
๑ในรายงานให้รายละเอียดว่าเป็นหนังไกรสรราชสีห์ทั้งผืน มีศีรษะและมือยื่นออกมาที่เก็จและว่าพระที่นั่งพุดตานทองเป็นรัตนสิงหาสน์

พระที่นั่งไพศาลทักษิณ
ในพระที่นั่งไพศาลทักษิณได้จัดตั้งพระแท่นมณฑล พระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์และพระที่นั่งภัทรบิฐ เป็นสำคัญ
- พระแท่นมณฑล จัดตั้งที่ผนังด้านตะวันออกมุมเหนือตั้งโต๊ะหมู่จำหลักลายทอง
- ตั้งพระพุทธรูปสำคัญๆ เช่นครั้งพระราชพิธีบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ ๕ แต่มีเพิ่มบ้างคือ พระพุทธบุษยรัตน์องค์น้อย พระแก่นศรีมหาโพธิ์ พระห้ามสมุทรทองทรงเครื่อง พระห้ามสมุทรเงิน พระเจดีย์ลังกาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระสุพรรณบัฏกับดวงพระชนมพรรษา
- เครื่องราชกกุธภัณฑ์ เครื่องบรมราชาภรณ์และเครื่องราชูปโภค
- เทวดาเชิญหีบพระราชลัญจกร และเชิญพระแสง
- พระแสงสำหรับแผ่นดิน พระแสงประจำรัชกาล พระแสงอัษฎาวุธ
- พระเศวตฉัตร พระกรรม์ภิรมย์ ธงชัยราชกระบี่ธุช ธงชัยครุฑพ่าห์ ธงบรมราชธวัช ธงไอยราพรต
- พระขันหยก มีเทียนทองสำหรับพระราชพิธี พระครอบพระกริ่ง พระมหาสังข์ พระเต้าน้ำพระพุทธมนต์
- เหมปักแว่นเวียนเทียน เทียนทอง เทียนเงินหนัก ๘ บาท ๒ คู่ เทียนสามกิ่งทองเงิน ๑ คู่
- บนเตียงลาที่รองพระแท่นมณฑล ตั้งเทียนพระมหามงคล ๑ คู่ เทียนทองเทียนเงิน หนัก ๘ บาท สลับกับหม้อน้ำพระพุทธมนต์ พานดอกไม้ ๖ คู่
- สองข้างพระแท่นมณฑล ตั้งตู้ใส่เทียนเท่าพระองค์ ๑ คู่
- หน้าพระแท่นมณฑล ตั้งเครื่องนมัสการลงยาราชาวดี พระแท่นทรงกราบ
- วงสายสิญจน์จากพระแท่นมณฑลแยกไปสองด้านไปรวมออกพระทวารเทวราชมเหศวร์ ต่อกับพระที่นั่งบุษบกมาลาแล้วแยกไปตามเสาพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยทั้งสองด้าน เลี้ยวเข้ากระโจมเทียนชัยและเตียงสวดและโยงไปยังพระที่นั่งต่างๆ ที่สวดมนต์วงรอบพระมหามณเฑียร วงไปที่มณฑปพระกระยาสนาน ต่อออกไปยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
- พระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์
- ได้จัดตั้งพระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ประดับพระเศวตฉัตรเจ็ดชั้นบนพระแท่นลาที่หน้าพระทวารลงจากหอพระสุราลัยพิมาน
ตั้งตั่งอัฐทิศทำด้วยไม้ไผ่สีสุกหุ้มผ้าขาว ปูผ้าขาว ด้านหน้าตั้งเทวรูปอภิไทโภธิบาทว์และเทวรูปนพเคราะห์ประจำทิศ - เทวรูปพระเกตุตั้งบนพระราชอาสน์ แต่วันพระราชพิธีย้ายมาตั้งบนตั่งด้านหน้ารวมกับเทวดาองค์อื่น
- บนตั่งทั้งแปดทิศตั้งหม้อน้ำศิลา พระถ้วยศิลาจารึก พระกลศ คลุมด้วยผ้าตาด และตั้งสังข์กับเครื่องนมัสการ๑ และมีขันพระสาครเงินใส่น้ำพระพุทธมนต์สำหรับโหรจุดเทียนบูชานพเคราะห์
- ได้จัดตั้งพระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ประดับพระเศวตฉัตรเจ็ดชั้นบนพระแท่นลาที่หน้าพระทวารลงจากหอพระสุราลัยพิมาน
- พระที่นั่งภัทรบิฐ
จัดตั้งพระที่นั่งภัทรบิฐประดับพระเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ตรงด้านหน้าพระทวารลงจากหอพระธาตุมณเฑียรสองข้างทางพระที่นั่งภัทรบิฐตั้งเครื่องราชูปโภค ตั้งเทียนทองเทียนเงิน หนัก ๘ บาท สำหรับบูชาพระเศวตฉัตร ๑ คู่ บนพระแท่นลา - วิมานพระสยามเทวาธิราช
ที่วิมานมีโต๊ะจีนเครื่องบูชาเครื่องหยก
ตอนเย็นตั้งเทียนพระมหามงคล
ตอนเช้าตั้งเทียนทองเทียนเงินหนัก ๑๒ บาท ๑ คู่ - แขวนยันต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลางใต้โคมระย้าหน้าวิมานพระสยาม
เทวาธิราช ต่อสายสิญจน์มาที่ยันต์แล้วห้อยลงมาสำหรับให้ผู้ประกาศเทวดาถือ แขวนยันต์พระอริยสาวกที่ลวดบัว ผนังที่พระที่นั่งทั้งแปดทิศต่อสายสิญจน์มาที่ยันต์ทุกยันต์ เพดานพระที่นั่งตกแต่งด้วยพวงดอกไม้สดห้อยเป็นสองแถว ที่พระเศวตฉัตรทั้งสองห้อยพวงมาลัยเปีย - ตั้งพระราชบังลังก์ที่ประทับต่อจากพระที่นั่งอัฐทิศโต๊ะทองเคียงตั้งเครื่องพานพระขันหมากทองคำลงยาราชาวดีสำรับกลม ที่ราวด้านหลังพระราชบัลลังก์ทอดพระแสงง้าว พระแสงปืน
- ตั้งอาสนสงฆ์ สำหรับพระสวดและฉัน ๒ แถว
- ด้านหน้าอาสนสงฆ์ด้านตะวันตกตั้งเก้าอี้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการที่ได้รับพระราชทานพานทองเฝ้า
- ด้านหลังพระที่นั่งภัทรบิฐและชานด้านตะวันตกเป็นที่มหาดเล็กและเจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องเฝ้า
- ชานพักด้านตะวันออกและท้องพระโรงด้านหน้าเป็นที่พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายในเฝ้า
๑ เครื่องนมัสการ ได้แก่ ถ้วยแก้วเชิงจัดพุ่มดอกไม้สดตามสีเทวดา นพเคราะห์ และเทียนทอง เทียนเงิน หนัก ๘ บาท บูชาพระเศวตฉัตร ๑ คู่ เจริญพระพุทธมนต์ สามวัน มีบัตรยอดมณฑป โหรบูชานพเคราะห์ บัตรและเครื่องบูชาทิศกลาง มีเทียนทอง เทียนเงินบูชาพระเศวตฉัตร

พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน
ที่พระที่นั่งจักรพรรดิพิมานอันเป็นพระราชมณเฑียร ได้จัดตั้งพระแท่นบรรทมตั้งเครื่องนมัสการ เครื่องพระราชอาสน์ พระแท่นลาดราชอาสน์
พระแท่นบรรทมตั้งในพระฉาก เหนือเพดานพระแท่นบรรทมมีนพปฎลมหาเศวตฉัตร และบนพระแท่นบรรทมตั้งม้าหมู่ประดิษฐานพระชัยนวโลหะ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทาน และเครื่องตั้งเฉลิมพระราชมณเฑียรมีพานทองประดับดอกไม้สดและเทียนทองเทียนเงินหนัก ๘ บาท ๒ คู่ ลาดอาสนะพระสงฆ์ราชาคณะเจริญพระพุทธมนต์บนพระแท่น บนพระแท่นลดทอดพระยี่ภู่พับไว้คลุมด้วยผ้าเยียรบับ พระเขนยทอดบนพานแว่นฟ้า
ที่หน้าพระแท่นบรรทม ตั้งเครื่องนมัสการเครื่องแก้ว ต่อออกมาตั้งพระราชอาสน์ที่ประทับทรงสดับพระราชาคณะเจริญพระพุทธมนต์ และตั้งเครื่องพานพระศรีลงยาราชาวดี พระมณฑป พระมหามงคล ถาดสรงพระพักตร์ และขันพระนพ
ในพระฉากตอนเหนือห้องทรงเครื่อง ตั้งพระแท่นลาดราชอาสน์ ตั้งเครื่องสรงพระพักตร์และเครื่องพระสำอางมีนพปฎลเศวตฉัตรแขวนลอยเหนือแท่น

พระมณฑปกระยาสนาน
ที่สรงพระกระยาสนานปลูกเป็นพระมณฑปยกพื้นชั้นหนึ่ง พระมณฑปหุ้มผ้าขาว หลังคาและเพดานคาดผ้าขาวลายทองดอกจำปาทองห้อย มีนาคช่อห้อย ช่อตั้ง เฟื่องอุบะห้อยเครื่องทอง พระสูตรทั้ง ๔ ด้านสีขาวลายแย่งทรงข้าวบิณฑ์ทองแผ่ลวด ตั้งตั่งไม้มะเดื่อบนถาดทอง
ในวันสรงมูรธาภิเษกตั้งถาดสรงพระพักตร์มีพระครอบมูรธาภิเษกสนาน
ปูลาดใบกระถินซึ่งเป็นไม้กาลกิณีสำหรับทรงเหยียบ บนฐานพระมณฑปประดับราชวัติทรงเครื่องพื้นขาวลายทองและเครื่องสูงเจ็ดชั้นทองแผ่ลวดพื้นโหมดทองเงินนาคทั้งสี่ด้าน ด้านละ ๓ ที่ และที่ทางขึ้นทุกด้านประดับด้วยต้นกล้วย ต้นอ้อย จั่นหมาก และจั่นมะพร้าว
ตั้งบุษบกน้อย สำหรับตั้งพระชัยนวโลหะและพระพิฆเนศและตั้งศาลเทวดาบูชาฤกษ์และจตุโลกบาล
ทางเหนือพระมณฑปในวันสรงมีโต๊ะเครื่องสังเวยเทวดากลางหาว และมีที่ประทับของพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายในทางด้านตะวันออก

โรงพระราชพิธีพราหมณ์
ตั้งด้านทิศตะวันออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทำด้วยไม้จริงปิดทองน้ำตะกูหลังจาดาดผ้าแดงประดับช่อฟ้า ใบระกา นาคสะดุ้ง มีไม้โขลนทวาร ประดับราชวัติ ตาชะแลง ฉัตรกระดาษห้าชั้น ประดับต้นกล้วย ต้นอ้อย ดอกหมาก ดอกมะพร้าว
ตั้งเตียงมณฑลเล็ก ตั้งพระอิศวร พระอุมา พระนารายณ์ พระลักษมี พระมเหศวรี๑ พระพรหมและพระพิฆเนศ ตั้งโต๊ะเทวดานพเคราะห์ และโต๊ะ
เบญจครรภ ทางด้านขวาตั้งหม้อกุมภ์ ๙ หม้อ ด้านซ้ายตั้งเตาโหมกุณฑ์ โดยรอบโรงพระราชพิธีประดับราชวัติ ฉัตรเบญจรงค์เจ็ดชั้น ต้นกล้วย ต้นอ้อย ดอกหมาก ดอกมะพร้าว
๑ ครั้งรัชกาลที่ ๑ มีพระเทวกรรม ไม่มีพระมเหศวรี ส่วนรัชกาลอื่นไม่ปรากฏรายละเอียด มีแต่กล่าวว่าอัญเชิญเทวรูป ๗ องค์ออกตั้ง แต่ในสมัยอยุธยามีเพียง ๔ องค์แรก


วันเตรียมการพระราชพิธี
การเตรียมการพระราชพิธีราชาภิเษกในรัชกาลนี้มีขึ้นระหว่างวันที่ ๗-๑๐ พฤศจิกายน รวม ๔ วัน และวันพระฤกษ์บรมราชาภิเษกในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๓
ในวันแรกของวันเตรียมการ เวลาเช้า ๕ โมง มีการแห่พระสุพรรณบัฏและดวงพระชนมพรรษา โดยเชิญขึ้นพระราชยานกง จากพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามไปประดิษฐานบนพระแท่นมณฑล ที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ มีขุนพิจิตรราชสาสน์ กรมพระอาลักษณ์ ขึ้นประคองพานพระสุพรรณบัฏ
ในตอนค่ำของวันแรกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงสดับพระราชาคณะเจริญพระพุทธมนต์ที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ โดยทรงจุดเทียนนมัสการพระสัมพุทธพรรณีที่พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย ทรงจุดเทียนนมัสการที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ทรงจุดเทียนทองเทียนเงินที่โต๊ะเครื่องบูชาพระสยามเทวาธิราช เทียนพระที่นั่งอัฐทิศและพระที่นั่งภัทรบิฐ
ในวันที่สอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงศีล๑ ที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย มีพระสงฆ์เข้าพระราชพิธี ๘๕ รูป จากนั้นเมื่อได้พระฤกษ์ทรงจุดเทียนทองทรงตั้งสัตยาธิษฐาน ถวายเทียนทองแด่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวชิรญาณวโรรสทรงจุดเทียนชัยพระสงฆ์สวดคาถาจุดเทียนชัย เจ้าพนักงานประโคมแตรสังข์ ฆ้องชัย เครื่องดุริยดนตรี แล้วทรงประเคนไตรแพรมีผ้ากราบและย่ามเยียรบับแก่พระสงฆ์
มหาดเล็กตั้งเครื่องบวงสรวงเทวดา คือพระสยามเทวาธิราชและพระมหาเศวตฉัตรในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทและที่อื่นๆ รวม ๑๖ แห่ง
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นพระที่นั่งไพศาลทักษิณ เจ้าพนักงานประโคมดุริยดนตรี พระสงฆ์ฉันภัตตาหารในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ๓๕ รูป ที่พระที่นั่ง
อมรินทรวินิจฉัย ๕๐ รูป ทรงจุดเทียนเครื่องนมัสการ ทรงศีลแล้ว พระสงฆ์สวดถวายพระพร แล้วทรงประเคนอาหารบิณฑบาต๒ ทรงประเคนบัญชี เครื่องไทยธรรม พระสงฆ์ถวายอนุโมทนาแล้วทรงจุดเทียนเครื่องกระบะมุกบูชาธรรมที่เตียงสวด พระราชาคณะสวดภาณวารไปจนตลอดเวลาดับเทียนชัยแล้วเสด็จขึ้น
ตอนค่ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว๓ ทรงจุดเทียนเครื่องนมัสการกระบะถมในพระแท่นบรรทม ที่พระที่นั่งอมรพิมานมณี๔ แล้วเสด็จประทับที่พระที่นั่ง
อมรินทรวินิจฉัย ทรงจุดเทียนเท่าพระองค์ เทียนพระมหามงคล และเทียนเครื่องนมัสการพระสัมพุทธพรรณี แล้วเสด็จขึ้นพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ทรงจุดเทียนเท่าพระองค์ เทียนพระมหามงคลและเทียนเครื่องนมัสการ และเทียนในพระแท่นมณฑล พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวชิรญาณวโรรส ถวายศีล เมื่อทรงศีลแล้วทรงจุดเทียนทองเทียนเงินบูชาพระสยามเทวาธิราช บูชาพระเศวตฉัตรที่พระที่นั่งอัฐทิศกับพระที่นั่งภัทรบิฐประทับพระราชบัลลังก์ พระพิมลธรรมอ่านประกาศเทวดา๕ เมื่อจบแล้วพระราชาคณะทั้งที่ในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ๓๐ รูป และพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ๔๕ รูป เจริญพระพุทธมนต์พระราชครูพิธีพราหมณ์ถวายน้ำพระมหาสังข์ และถวายใบไม้ทรงป้องปัดพระองค์ (ใบสมิทธ) พราหมณ์รับไปกระทำศาสตร์ปุณยาชุปโหมเพลิงที่โรงพระราชพิธีพราหมณ์ แล้วเสด็จเข้าในพระมหามณเฑียร ทรงจุดเทียนเครื่องนมัสการ ทรงพระมหามงคลสดับพระราชาคณะ ๕ รูปเจริญพระพุทธมนต์๖ จบแล้วทรงเปลื้องพระมหามงคล เสด็จออกประทับที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ พระสงฆ์ถวายภวตุ สัพพมังคลังและถวายพระพรลา แล้วเสด็จออกประทับที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ให้พระยาอภัยภูเบศร์กับข้าหลวงเทศาภิบาล และข้าราชการหัวเมืองเฝ้า จากนั้นเสด็จขึ้นพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
ในวันที่สามและวันที่สี่ พระราชพิธีเป็นเช่นเดียวกับในวันที่สอง ผิดแต่ในวันที่สามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องเต็มยศจอมพลทหารเรือ ทรงสายสะพายช้างเผือก พระสังวาลมงกุฎสยาม และในวันที่สี่ตอนเช้าทรงเครื่องเต็มยศตำรวจทรงสายสะพายมหาจักรีบรมราชวงศ์ พระสังวาลจุลจอมเกล้า ตอนเย็นทรงเครื่องเต็มยศทหารมหาดเล็ก
๑ ทรงเครื่องครึ่งยศนายพันเอกพิเศษ กรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์
๒ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนเรศวรฤทธิ์ ทรงเป็นประธานปฏิบัติพระ
๓ ทรงเครื่องเต็มยศ นายพันเอกพิเศษ กรมทหารราบที่ ๑๑ ทรงสายสะพาย เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎสยาม พระสังวาลช้างเผือก
๔ รัชกาลก่อนกล่าวแต่เพียงที่พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน
๕ ยืนที่ท้ายอาสนสงฆ์ หน้าวิมานพระสยามเทวาธิราช ถือสายสิญจน์ตรงยันต์พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่ปรากฏว่าได้บวงสรวงเทวดา ณ เทวสถาน ๑๕ แห่งอย่างครั้งรัชกาลที่ ๕
๖ ระหว่างนี้ ราชบัณฑิตได้บูชาทิศที่พระที่นั่งอัฐทิศ โหรบูชาเทวดาอภิไทโภธิบาทว์ และเทวดานพเคราะห์

เป็นวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๓ เมื่อใกล้พระฤกษ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกจากพระที่นั่ง
จักรีมหาปราสาทโดยกระบวนพระราชยานไปยังพระที่นั่ง
อมรินทรวินิจฉัย ทรงจุดเทียนนมัสการพระสัมพุทธพรรณี แล้วเสด็จขึ้นพระที่นั่งไพศาลทักษิณ พระราชาคณะ๑ ผู้ที่จะได้ถวายน้ำพระพุทธมนต์ขึ้นนั่งอาสนะที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณมีพระสงฆ์เข้าไปฉันในพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานหลังตะวันตกและที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย และโหรพราหมณ์และผู้นำเสด็จในการสรงมูรธาภิเษกอยู่ชานพักด้านตะวันออก ส่วนเจ้าพนักงานพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และพราหมณ์๒ ผู้ถวายน้ำสังข์น้ำครอบอยู่ชานพักตะวันตก

การพระราชพิธีในวันพระฤกษ์บรมราชาภิเษก
วันประกอบการพระราชพิธีเป็นวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๓ เมื่อใกล้พระฤกษ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกจากพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทโดยกระบวนพระราชยานไปยังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทรงจุดเทียนนมัสการพระสัมพุทธพรรณี แล้วเสด็จขึ้นพระที่นั่งไพศาลทักษิณ พระราชาคณะ๑ ผู้ที่จะได้ถวายน้ำพระพุทธมนต์ขึ้นนั่งอาสนะที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณมีพระสงฆ์เข้าไปฉันในพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานหลังตะวันตกและที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย และโหรพราหมณ์และผู้นำเสด็จในการสรงมูรธาภิเษกอยู่ชานพักด้านตะวันออก ส่วนเจ้าพนักงานพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และพราหมณ์๒ ผู้ถวายน้ำสังข์น้ำครอบอยู่ชานพักตะวันตก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงศีลแล้ว เสด็จขึ้นประทับหอพระสุราลัยพิมาน ผลัดพระภูษา ทรงเศวตพัสตร์และทรงสะพักขาวขอบขลิบทองคำ เมื่อได้พระฤกษ์พระราชครูพิธีกราบทูลอัญเชิญเสด็จสู่พระมณฑปพระกระยาสนาน โดยมีราชบัณฑิต๓ เชิญพระชัยนวโลหะนำเสด็จเบื้องขวา หลวงอินทรฤาไชยพราหมณ์พฤฒิบาศเชิญพระพิฆเนศนำเสด็จอยู่เบื้องซ้ายแล้วตามด้วยริ้วกระบวนที่เตรียมไว้ตามราชประเพณี เมื่อเสด็จถึงบริเวณพระมณฑลพิธีทรงจุดเทียนทองเทียนเงิน และสังเวยเทวดากลางหาว แล้วเสด็จขึ้นสถิตเหนือตั่งไม้อุทุมพร แปรพระพักตร์สู่ทิศอาคเนย์อันเป็นทิศมงคล พระยาราชโกษาถวายเครื่องสรงพระกระยาสนาน หลวงโลกทีป (แทนพระโหราธิบดี) ลั่นฆ้องชัย พราหมณ์เป่าสังข์ทักขิณาวัฏ พระราชโกษาไขสหัสธารา๔ สรงมูรธาภิเษก พระสงฆ์ทั้งหมดสวดชัยมงคลคาถา เจ้าพนักงานประโคมแตรสังข์บัณเฑาะว์ มโหระทึก เครื่องดุริยดนตรี ยิงปืนมหาฤกษ์ มหาชัย มหาจักร มหาปราบ ๒๑ นัด ตามกำลังวัน ทหารบกทหารเรือยิงปืนใหญ่เฉลิมพระเกียรติยศแห่งละ ๑๐๑ นัด๕ พระสงฆ์ตามพระอารามต่างๆ ย่ำระฆังถวายชัยมงคลคาถา ๗ ลา เมื่อสรงสหัสธาราแล้ว พระบรมวงศ์ที่ทรงผนวชและพระราชาคณะขึ้นถวายน้ำพระพุทธมนต์ทางบันไดทิศตะวันออกคือ
- พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวชิรญาณวโรรส สรงน้ำพระพุทธมนต์จากพระครอบพระกริ่งหลวงกับพระครอบยันต์ของเดิมที่พระขนอง และที่พระหัตถ์เพื่อทรงลูบพระพักตร์
- พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระสถาพรพิริยพรต สรงน้ำพระพุทธมนต์จากพระครอบพระกริ่งมาจากพระอาราม ที่พระขนองและที่พระหัตถ์
- สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ สรงน้ำพระพุทธมนต์จากพระเต้าบัวแดง โดยถวายที่พระหัตถ์
- พระพิมลธรรม สรงน้ำพระพุทธมนต์จากพระครอบพระกริ่งในรัชกาลที่ ๕ โดยถวายที่พระหัตถ์
เมื่อพระราชาคณะถวายน้ำแล้ว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี๖ เสด็จขึ้นทางทิศตะวันออกสรงน้ำพระพุทธมนต์ด้วยพระเต้าศิลายอดเกี้ยวที่พระขนองและพระหัตถ์ จากนั้นพระบรมวงศ์ฝ่ายหน้า ๔ พระองค์เสด็จขึ้นทางทิศใต้สรงน้ำพระพุทธมนต์เฉพาะที่พระหัตถ์คือ
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช สรงจากพระเต้าเบญจครรภน้อย
- พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนเรศวรฤทธิ์ สรงจากพระเต้าศิลาจารึกอักษร
- พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ สรงจากพระเจ้าบัวหยกเขียว
- พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมี่นจันทบุรีนฤนาถ สรงจากพระเต้าปทุมศิลาขาวและเจ้าพนักงานได้ทูลเกล้าฯ ถวายพระเต้าต่างๆ ให้ทรงสรง เช่น พระเต้าเทวบิฐ พระเต้าห้ากษัตริย์ พระเต้าปทุมนิมิตร
- พระโหราธิบดี๗ ทูลเกล้าฯ ถวายพระเต้านวเคราะห์
- พระราชครู๘ พิธี ทูลเกล้าฯ ถวายพระเต้าเบญจครรภ
- พราหมณ์ ทูลเกล้าฯ ถวายพระมหาสังข์ ๕ และพระมหาสังข์ ๓
- หลวงอินทรฦาไชย ทูลเกล้าฯ ถวายพระสังข์สำริด
- พระยาราชโกษา ทูลเกล้าฯ ถวายพระมหาสังข์ทักขิณาวัฏ
เมื่อสรงมูรธาภิเษกเสร็จ๙ แล้ว เสด็จขึ้นทรงเครื่อง ณ หอพระสุลาลัยพิมานโดยมีกระบวนราชบัณฑิตและพราหมณ์นำเสด็จ
ในระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสรงมูรธาภิเษกเจ้าพนักงานได้ยกพระมหาเศวตฉัตรในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชชนนีและสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี พระบรมราชเทวี ทรงลาดพระยี่ภู่ ณ ที่บรรทมบนพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องตามสีพิชัยสงครามแล้วเสด็จออก๑๐ ประทับพระที่นั่งอัฐทิศผันพระพักตร์สู่ทิศตะวันออกพระยาราชโกษาทูลเกล้าฯ ถวายพระเต้าเบญจครรภเพื่อทรงรับน้ำอภิเษกจากพราหมณ์และราชบัณฑิตที่ประจำอยู่ตามทิศต่างๆ ทรงจิบและลูบพระพักตร์เวียนไปโดยทักขิณาวัฏ แล้วเสด็จไปประทับพระที่นั่งภัทรบิฐ๑๑ ผู้ถวายน้ำพระมหาสังข์และพระครอบมีดังนี้
- ทิศตะวันออก (บูรพา)
มีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสมมตอมรพันธ์ ราชบัณฑิต๑๒
หลวงราชมุนี พราหมณ์ - ทิศตะวันออกเฉียงใต้ (อาคเนย์)
มีพระมหาวิชาธรรม ราชบัณฑิต
ชุนปัจจเวกข์ พราหมณ์ - ทิศใต้ (ทักษิณ)
มีพระยารักษาสมบัติ ราชบัณฑิต
ขุนธรรมนารายณ์ พราหมณ์ - ทิศตะวันตกเฉียงใต้ (หรดี)
มีพระปริยัติธรรมธาดา ราชบัณฑิต
หลวงศิวาจารย์ พราหมณ์ - ทิศตะวันตก (ประจิม)
มีกรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา ราชบัณฑิต
หลวงญาณสยมภูว์ พราหมณ์ - ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (พายัพ)
มีหลวงราชาภิรมณ์ ราชบัณฑิต
หลวงสุริยาเทเวศน์ พราหมณ์ - ทิศเหนือ (อุดร)
มีเจ้าพระยายมราช ราชบัณฑิต
พระครูอัษฎาจารย์ พราหมณ์ - ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน)
มีพระเมธาธิบดี ราชบัณฑิต
หลวงเทพมุนี พราหมณ์
๑ มีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวชิรญาณวโรรส, พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสถาพรพิริยพรต, สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ และพระพิมลธรรม
๒ พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการ แต่งเต็มยศใหญ่ เจ้าพนักงานกระบวนหน้าแต่งเต็มยศพื้นขาว กระบวนหลังแต่งเต็มยศตามตำแหน่ง สวมเสื้อครุยทั้งสองกระบวน ส่วนพระบรมวงศานุวงศ์และช้าราชการผู้ทำหน้าที่ราชบัณฑิตแต่งเต็มยศพื้นขาว สวมเสื้อครุยห่มเฉียงบ่า
๓ คือหม่อมเจ้าพร้อม ในพระเจ้าราชวงวงศ์เธอกรมหมื่นภูมินทรภักดี
๔ น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำนครชัยศรี แม่น้ำราชบุรี แม่น้ำเพชรบุรี และแม่น้ำฉะเชิงเทรา เจือด้วยน้ำเบญจมหานทีประเทศอินเดีย คือ คงคา ยมนา มหิ สรภู และอิรวดี กับน้ำจาก ๔ สระ คือ สระแก้ว สระเกศ สระคา และสระยมนา จังหวัดสุพรรณบุรี
๕ มีขึ้นเป็นครั้งแรก
๖ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
๗ ครั้งนี้หลวงโลกทีปปฏิบัติหน้าที่แทน
๘ หลวงราชมุนีแทน
๙ พระเทพทวาราวดี จางวางมหาดเล็ก ทูลเกล้าฯ ถวายฉลองพระองค์คลุมสีเหลือง และเจ้าหมื่นไวยวรนาถถวายฉลองพระบาท
๑๐ หม่อมเจ้าพร้อมเชิญพระชัยนวโลหะ และหลวงอินทรฦาไชยเชิญพระพิฆเนศ นำเสด็จพราหมณ์เป่าสังข์ และกรมพระแสงในขับไม้บัณเฑาะว์ตั้งแถวตรงพระที่นั่งอัฐทิศ มีกระบวนหลังเชิญเครื่องราชกกุธภัณฑ์ เครื่องราชูปโภค และพระแสงอัษฎาวุธ สำหรับตามเสด็จยืนประจำที่ ในรัชกาลก่อนๆ ไม่ปรากฏรายละเอียดดังจะกล่าวในหัวข้อ “กระบวนแห่”
๑๑ กรมศิลปากร, จดหมายเหตุพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพลตรีดัด เตชะชาติ, ๒๕๑๘ หน้า ๑๘-๒๔
๑๒ กราบบังคมทูลเป็นภาษามคธ แล้วถายน้ำอภิเษกด้วยถ้วยศิลาที่จารึกอักษร


กระบวนแห่
การจัดกระบวนแห่จากพระที่นั่งอัฐทิศไปยังพระที่นั่งภัทรบิฐจัดเป็นกระบวนนำเสด็จ ๒ สาย และกระบวนตามเสด็จ ๔ สาย
กระบวนนำเสด็จ ๒ สาย คือ จะมีผู้เดินนำเชิญพระพิฆเนศและพระชัยนวโลหะ ต่อด้วยเจ้าหน้าที่และพราหมณ์ที่ขับไม้บัณเฑาะว์ เป่าสังข์ เป็นต้น เดินเป็นคู่ๆ รวม ๘ คู่ โดยเรียงตามลำดับซ้ายขวา ดังนี้
- พระพิฆเนศ (ซ้าย) หลวงอินทรฦาไชย เป็นพราหมณ์พฤฒิบาศ
พระชัยนวโลหะ (ขวา) หม่อมเจ้าพร้อม - เจ้าพนักงานขับไม้บัณเฑาะว์ (ซ้าย-ขวา)
- ขุนหมื่นกรมแสงใน (ซ้าย-ขวา)
- เป่าสังข์อุตราวัฏ (ซ้าย-ขวา)
- พราหมณ์ (ซ้าย-ขวา)
- เป่าสังข์ทักขิณาวัฏ (ซ้าย) หลวงญาณสยมภูว์
เป่าสังข์ทักขิณาวัฏ (ขวา) หลวงสุริยาเทเวศร์ - โปรยข้าวตอก (ซ้าย) หลวงศิวาจารย์
โปรยข้าวตอก (ขวา) พระครูอัษฎาจารย์ - หลวงเทพาจารย์ (ว่าที่พระสิทธิไชย) (ซ้าย)
หลวงราชมุนี (ว่าที่พระราชครู) (ขวา)
กระบวนตามเสด็จ ๔ สาย เป็นการจัดข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และเจ้าพนักงานอัญเชิญเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ เครื่องราชูปโภคและพระแสงอัษฎาวุธ ตามเสด็จโดยจัดเป็น ๗ แถว แถวละ ๔ คน จึงเรียกว่า ๔ สาย เดินเรียงตามกันไป โดยแบ่งแนวกลางจัดเป็นฝ่ายซ้ายฝ่ายขวา
แถวที่ ๑
(ซ้าย) พระมหาเศวตฉัตร (พันทอง)
(ขวา) พระสังวาลพราหมณ์ธุรำ (หลวงเทพมุนี)
(ซ้าย) พระสุพรรณบัฏ (พระยาศรีสุนทรโวหาร)
(ขวา) พระมหาพิชัยมงกุฎ (พระยาราชโกษา)
แถวที่ ๒
(ซ้าย) ธารพระกร (พระยาวรพงศ์พิพัฒน์)
(ขวา) พระสังวาลพระนพ (พระเทพาภรณ์)
(ซ้าย) พระสังวาลนพรัตนราชวราภรณ์ (พระยาวงศาภรณ์ภูษิต)
(ขวา) พระแสงขรรค์ชัยศรี (พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ)
แถวที่ ๓
(ซ้าย) พัดวาลวิชนี (เจ้าหมื่นเสมอใจราช)
(ขวา) พระแส้จามรี (เจ้าหมื่นศรีสรรักษ์)
(ซ้าย) พระแส้หางช้างเผือก (เจ้าหมื่นสรรเพธภักดี)
(ขวา) ฉลองพระบาท (เจ้าหมื่นไวยวรนาถ)
แถวที่ ๔
(ซ้าย) ธารพระกรเทวรูป (หลวงศักดิ์)
(ขวา) พระธำมรงค์วิเชียรจินดา (หลวงราชาภิมณฑ์)
(ซ้าย) พระธำมรงค์รัตนวราวุธ (หลวงสุนทรภูษิต)
(ขวา) พระแส้ฝักทองทองเกลี้ยง (หลวงฤทธิ์)
แถวที่ ๕
(ซ้าย) พระสุพรรณศรีบัวแฉก (นายจ่ายง)
(ขวา) พานพระขันหมาก (นายจ่าเรศ)
(ซ้าย) พระมณฑป (นายจ่ายวด)
(ขวา) พระเต้าทักษิโณทก (นายจ่ารง)
แถวที่ ๖
(ซ้าย) พระแสงดาบเชลย (นายไชยขรรค์)
(ขวา) พระแสงจักร (นายกวด)
(ซ้าย) พระแสงศรี (นายฉัน)
(ขวา) พระแสงหอกเพชรรัตน์ (นายชิด)
แถวที่ ๗
(ซ้าย) ของ้าวแสนพลพ่าย (นายพิไนย)
(ขวา) พระแสงดาบเขน (นายบำรุง)
(ซ้าย) นายแสงธนู (นายสนิท)
(ขวา) พระแสงปืนข้ามแม่น้ำสะโตง (นายพลพ่าย)


พระราชพิธีพระที่นั่งภัทรบิฐ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับพระที่นั่งภัทรบิฐผันพระพักตร์ไปยังทิศตะวันออก (บูรพา) สุดเสียงสังข์แล้วหลวงราชมุนี (ที่พระราชครู) อ่านเวทสรรเสริญไกลาสแล้วกราบบังคัมทูลเฉลิมพระปรมาภิไธย ถวายเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์และเครื่องประดับพระราชอิสริยยศด้วยภาษามคธ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสรับด้วยภาษามคธ แล้วพระราชครูกราบทูลเป็นภาษาไทยอีก ทรงรับด้วยภาษาไทย
แล้วพราหมณ์เป่าสังข์ โหรลั่นฆ้องชัย กราบแสงในขับไม้บัณเฑาะว์ เจ้าพนักงานประโคมแตรสังข์ มโหระทึก เครื่องดุริยดนตรี แล้วเจ้าพนักงานผู้เชิญเครื่องตามเสด็จเชิญเครื่องเข้าไปส่งให้พระราชครูนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายทีละคนตามลำดับ ตั้งแต่พระสุพรรณบัฏ พระสังวาลพราหมณ์ธุรำ พระสังวาลนพรัตนราชวราภรณ์ พระมหาพิชัยมงกุฎ เรื่อยมาจนถึงพระแสงปืนคาบชุดข้ามแม่น้ำสะโตง เมื่อหยุดประโคม พระสิทธิไชยบดี๑ กราบทูลถวาย พระนพปฎลมหาเศวตฉัตรด้วยภาษามคธตรัสรับด้วยภาษามคธ แล้วกราบทูลด้วยคำภาษาไทยทรงรับด้วยภาษาไทย แล้วพระสิทธิไชยบดีเชิญพระนพปฎลมหาเศวตฉัตรขึ้นถวาย๒
พราหมณ์เป่าสังข์ โหรลั่นฆ้องชัย เจ้าพนักงานประโคมแตรสังข์ ไกวบัณเฑาะว์ มโหระทึก เครื่องดุริยดนตรี
จากนั้นพระครูอัษฎาจารย์อ่านมนต์ยกอนุษฎกอิศวร หลวงเทพาจารย์อ่านมนต์ยกอนุษฎกนารายณ์ ถวายชัย เมื่ออ่านจบพราหมณ์เป่าสังข์ทุกครั้ง พระราชครูกล่าวคำถวายชัยด้วยภาษามคธและภาษาไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการพระราชทานอภัยและอารักขาแก่ประชาชนเป็นภาษามคธและภาษาไทย พระราชครูก็รับพระบรมราชโองการเป็นภาษามคธและภาษาไทย แล้วพราหมณ์เป่าสังข์ทักขิณาวัฏ เจ้าพนักงานประโคมแตรสังข์ บัณเฑาะว์ ฆ้องชัย มโหระทึก เครื่องดุริยดนตรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรยดอกพิกุลทอง๓ พิกุลเงิน พระราชทานพราหมณ์ทั้งสี่ และผู้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท แล้วโปรยเงินสลึง๔ พระราชทานพราหมณ์ทั้งสี่ แล้วทรงหลั่งน้ำทักษิโณทกทรงตั้งสัตยาธิษฐาน ตั้งพระราชหฤทัย ทรงบำเพ็ญราชธรรมจริยาแผ่แด่ประชาชน แล้วทรงเปลื้องพระมหาพิชัยมงกุฎ ทรงปลดพระธำมรงค์วิเชียรจินดาและพระธำมรงค์รัตนวราวุธ แล้วเสด็จจากพระที่นั่งภัทรบิฐ ทรงโปรยดอกพิกุลทอง พิกุลเงิน และเงินสลึงพระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการ
แล้วเสด็จขึ้นพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ทรงประเคนเครื่องไทยธรรมแด่พระสงฆ์ ๘๕ รูป พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวชิรญาณ
วโรรส ถวายอดิเรกพิเศษเป็นพระฤกษ์ปฐม พระสงฆ์สวดโส อัตถลัทโธ ๓ จบ สวดสัมพุทธาและภวตุ สัพพมังคลัง แล้วถวายพระพรลาเข้าไปนั่งอาสน์บนพระที่นั่ง
อมรินทรวินิจฉัย ๓๐ รูป พระพิมลธรรมดับเทียนชัย พระราชาคณะสวดคาถาดับเทียนชัย เป็นการเสร็จพระราชพิธีสงฆ์
๑ หลวงเทพาจารย์ ผู้ว่าที่
๒ เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์เป็นเครื่องราชูปโภค ตลอดจนพระแสงต่างๆ เมื่อทรงรับแล้วมหาดเล็กผู้เชิญจะเข้ารับต่อจากพระหัตถ์แล้วไปยืนเชิญอยู่ด้านหลังพระที่นั่งภัทรบิฐ
๓ พระยาศุภกรณ์บรรณสาร เจ้ากรมพระคลังข้างที่ ทูลเกล้าฯ ถวายพิกุลทองพิกุลเงินทั้งขันทองคำลงยาราชาวดี
๔ พระสิทธิธนรักษ์ทูลเกล้าฯ ถวายทั้งขันทองคำลงยาราชาวดี

พระเจ้าอยู่หัวทรงถือพระแสงขรรค์ชัยศรี
เสด็จออกประทับพระที่นั่งพุดตานบนพระที่นั่ง
มหาเศวตฉัตร แล้วทรงพระมหาพิชัยมงกุฎและ
ฉลองพระบาท๑

เสด็จออกมหาสมาคม
ตอนบ่ายเมื่อใกล้พระฤกษ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถือพระแสงขรรค์ชัยศรีเสด็จออกประทับพระที่นั่งพุดตานบนพระที่นั่งมหาเศวตฉัตร แล้วทรงพระมหาพิชัยมงกุฎและฉลองพระบาท๑ เมื่อได้พระฤกษ์เจ้าหมี่นเสมอใจราช หัวหมื่นมหาดเล็กรัวกรับ ชาวม่านไขพระสูตร จมื่นจงรักษาองค์ชายชูพุ่มข้าวบิณฑ์ ดอกไม้ทองให้สัญญาเจ้าพนักงานประโคมแตรสังข์ พระบรมวงศานุวงศ์และอัครราชทูตผู้แทนรัฐบาลต่างประเทศ และข้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายคำนับ กองทหารทำวันทยาวุธ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี๒ สุดเสียงประโคมแล้ว พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ อ่านคำกราบบังคมทูลถวายชัยมงคลของฝ่ายหน้า เสร็จแล้วมีพระบรมราชโองการดำรัสตอบแล้วพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ จึงรับพระบรมราชโองการเป็นพระฤกษ์แล้วเสด็จขึ้นฝ่ายในถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงชฎามหากฐิน ทรงพระแสงขรรค์นวโลหะ เสด็จขึ้นพระที่นั่งไพศาลทักษิณประทับพระที่นั่งภัทรบิฐให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายในซึ่งมีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสมรรัตน์สิริเชษฐเป็นผู้กราบบังคมทูลถวายชัยมงคลแทน แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอบแล้วทรงโปรยดอกพิกุลทอง ดอกพิกุลเงิน เงินสลึงพระราชทาน๓
๑ พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ จางวางมหาดเล็กสอดถวาย
๒ มีครั้งแรกในรัชกาลที่ ๕
๓ จดหมายเหตุพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสรินทรมหาวชิราวุธ มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, อ้างแล้ว, หน้า ๒๕-๒๙


การเฉลิมและสมโภชพระราชมณเฑียร
การพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียรในรัชกาลนี้ก็เช่นเดียวกับที่เคยได้ปฏิบัติมาในรัชกาลก่อน คือ เสด็จทรงเปลื้องพระชฎาและฉลองพระองค์ครุยในหอพระสุราลัยพิมาน เสด็จพระราชดำเนินขึ้นพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานทรงโปรยดอกพิกุลทอง ดอกพิกุลเงิน และเงินสลึง มีนางเชื้อพระวงศ์เชิญพระแสง เครื่องเฉลิมพระราชมณเฑียรและเครื่องราชูปโภคตามเสด็จเข้าในพระราชมณเฑียร ทรงจุดเทียนนมัสการ เสด็จขึ้นพระแท่นที่บรรทมพระเจ้าอัยยิกาเธอ พระองค์เจ้าแม้นเขียนถวายดอกหมากทองคำและพระแส้หางช้างเผือกผู้๑ ทรงรับแล้ววางข้างที่ ท้าวทรงกันดาลถวายกุญแจทองคำ แล้วเอนพระองค์ลงเป็นพระฤกษ์ พระบรมวงศ์ผู้ใหญ่ฝ่ายในถวายพระพรชัยมงคล เจ้าพนักงานประโคมแตรสังข์เป็นเสร็จพิธี ประทับในพระมหามณเฑียร
ตอนบ่ายเมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปนมัสการพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้ว ได้เสด็จมาถวายบังคมพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๔ แล้วถวายบังคมพระบรมศพพระราชบิดา (รัชกาลที่ ๕) สดับปกรณ์พระบรมอัฐิและพระบรมศพ๒ พระสงฆ์ ๖๐ รูป ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา
ตอนเย็นเจ้าพนักงานตั้งบายศรีแก้ว บายศรีทอง บายศรีเงิน และบายศรีตอง เพื่อเวียนเทียนสมโภชพระราชมณเฑียรตามจารีตโบราณขัตติยราชประเพณี
๑ รัชกาลก่อนในรายละเอียดมีแต่ถวายดอกหมากทองคำ
๒ สดับปกรณ์พระบรมอัฐิไตร ๑ ผ้าขาวพับ ๙ เหมือนกันทั้ง ๕ พระองค์ คือ สมเด็จพระปฐมบรมมหาชัยกาธิบดี และรัชกาลที่ ๑-๒ รวมเป็น ๕ พระองค์ ส่วนพระบรมศพถวายไตร ๑๐ พระองค์ จึงรวมเป็นการถายแด่พระสงฆ์ ๖๐ รูป

ระหว่างการพระราชพิธี
บรมราชาภิเษก วันแรก
วันที่ ๗ พฤศจิกายน
เวลาค่ำ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงเครื่องครึ่งยศนายพันเอก
กรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ใน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ฉลองพระองค์รัชกาลที่ ๖ ระหว่างการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
วันแรก
วันที่ ๗ พฤศจิกายน
เวลาค่ำ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเครื่องครึ่งยศนายพันเอก กรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
วันที่สอง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน
เวลาเช้า
ทรงเครื่องครึ่งยศนายพันเอกพิเศษกรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์
เวลาค่ำ
ทรงเครื่องเต็มยศนายพันเอกพิเศษกรมทหารราบที่ ๑๑ ทรงสายสะพายเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎสยาม พระสังวาลช้างเผือก
วันที่สาม
วันที่ ๙ พฤศจิกายน
เวลาเช้า-ค่ำ
ทรงเครื่องเต็มยศจอมพลทหารเรือ ทรงสายสะพายช้างเผือก พระสังวาลมงกุฎสยาม
วันที่สี่
วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน
เวลาเช้า
ทรงเครื่องเต็มยศตำรวจ ทรงสายสะพายมหาจักรีบรมราชวงศ์ พระสังวาลจุลจอมเกล้า
เวลาค่ำ
ทรงเครื่องเต็มยศทหารมหาดเล็ก
วันพระฤกษ์บรมราชาภิเษก
วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน
เวลาเช้า
ทรงเครื่องเต็มยศทหารมหาดเล็ก ทรงสายสะพายนพรัตนราชวราภรณ์ พระสังวาลจุลจอมเกล้า ไปเปลื้องเครื่องเพื่อสรงมูรธาภิเษกที่พระมณฑปพระกระยาสนาน
สรงมูรธาภิเษก ทรงเศวตพัสตร์และทรงสะพักขาวขอบขลิบทองคำ เมื่อสรงแล้วฉลองพระองค์คลุมสีเหลืองเสด็จขึ้นทรงเครื่องที่หอพระสุลาลัยพิมาน
เสด็จสู่พระที่นั่งอัฐทิศ ทรงเครื่องตามสีพิชัยสงคราม ทรงสนับเพลาเชิงงอน พระภูษาเขียนทองพื้นเหลือง ฉลองพระองค์ตาดพื้นเหลือง ประดับพระตราเครื่องราชอิสริยภรณ์ทั้งห้า ทรงสวมสายสะพายราชอิสริยาภรณ์มหาจักรีพร้อมทั้งพระสังวาล ทรงสวมฉลองพระองค์ครุยกรองทองริ้วปัตหล่าชั้นนอก
เสด็จออกมหาสมาคมตอนบ่ายวันพระฤกษ์บรมราชาภิเษกทรงเครื่องพระภูษาและฉลองพระองค์เครื่องบรมราชาภิเษก ประดับตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งห้า ทรงสายสะพายเครื่องราชอิสริยยศมหาจักรีพร้อมทั้งพระสังวาลและทรงพระสังวาลนพรัตนราชวราภรณ์ พระสังวาลพระนพและพระสังวาลพราหมณ์สร้อยธุรำ ในฉลองพระองค์ครุยริ้วปัตหล่า ทรงพระสังวาลจุลจอมเกล้า ภายนอกฉลองพระองค์ครุย ทรงรับพระแสงขรรค์ชัยศรีมาทรงถือ เสด็จขึ้นสถิตบนพระที่นั่งมหาเศวตฉัตร แล้วทรงพระมหาพิชัยมงกุฎ
เมื่อเฉลิมพระราชมณเฑียรแล้ว เสด็จไปนมัสการพระมหามณีรัตนปฏิมากรและถวายบังคมพระบรมอัฐิ ทรงเครื่องจอมพลทหารบก ทรงสายสะพายเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาจักรีบรมราชวงศ์ ทรงพระคทาจอมพล
เสด็จออกให้ทูตานุทูตเฝ้า วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน และตั้งพระราชาคณะ
เวลาเย็น
ทรงเครื่องยศทหารโดยปกติ


การพระราชพิธีอื่นที่เกี่ยวข้อง
ในวันที่ ๑๒-๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๓ ปรากฏว่า ได้มีการพระราชพิธีอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเช่นเดียวกันทุกวัน อาทิ
- เสด็จออกพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทให้อัครราชทูต ผู้แทนรัฐบาลต่างประเทศเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายชัยมงคล ได้พระราชทานของที่ระลึกคือ ดอกพิกุลทอง พิกุลเงิน ตามสมควร
- จุดเทียนเครื่องนมัสการพระแท่นมณฑล แล้วโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายในเฝ้า ถวายดอกไม้ธูปเทียน
- เสด็จออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทรงตั้งตำแหน่งสมณศักดิ์พระราชาคณะ ๓ รูป๑ เป็นปฐม พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวชิรญาณวโรรส เป็นประธานสวดชัยมงคล พระราชทานไตรแพร สัญญาบัตร พัดยศ พัดรอง บาตร ย่าม เครื่องบริขาร
- พระบรมวงศานุวงศ์ ทูลเกล้าฯ ถวายดอกไม้ธูปเทียนพร้อมกัน
- ประทับพระราชบัลลังก์หน้าพระที่นั่งพระมหาเศวตฉัตรให้ข้าราชการกระทรวงกลาโหม กรมทหารบก กรมทหารเรือ และกระทรวงมหาดไทย เข้าถวายคำนับเฉพาะหน้าพระที่นั่งเรียงตัวคุกเข่าทูลเกล้าฯ ถวายพานดอกไม้ธูปเทียน
- โปรดเกล้าฯ ให้พระราชาคณะถวายพระธรรมเทศนาบนพระที่นั่งมหาเศวตฉัตร เพื่อสวัสดิมงคล
หลังจากนั้นได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดต้นไม้ทองต้นไม้เงิน เทียนทอง ธูปเงิน เป็นเครื่องราชสักการะไปบูชาเจดีย์สถานที่สำคัญๆ ทั่วพระราชอาณาจักร โดยพระราชทานให้ข้าหลวงเทศาภิบาลหรือผู้แทนเชิญไปรวม ๗ แห่ง คือ พระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี พระพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก พระบรมธาตุ อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย พระธาตุหริภุญชัย จังหวัดลำพูน พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม พระมหาธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช และพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม๒
๑ มีพระมหาอยู่ เปรียญ ๘ ประโยค วัดอนงคาราม เป็นพระปริยัติบัณฑิตที่พระราชาคณะไปอยู่วัดประยุรวงศาราม พระปลัดชื่นบาเรียนโท เทียบ ๕ ประโยค วัดสัมพันธวงศาราม เป็นพระวิเชียรกระวี พระครูอุตโมตวงศ์ธาดา วัดลับแล ปทุมธานีเป็นพระอริยธัชที่พระราชาคณะที่สังฆปาโมกข์เจ้าคณะใหญ่เมืองปทุมธานี
๒ ในรัชกาลอื่นไม่ปรากฏ


การพิธีพิเศษ
กล่าวได้ว่าในรัชกาลที่ ๖ นี้ ได้ทรงประกอบการพิธีพิเศษขึ้น ซึ่งในรัชกาลก่อนๆ มิได้เคยปรากฏ คือ งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้จัดเตรียมงานระหว่างวันที่ ๘ พฤศจิกายน ถึง ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ โดยมีลักษณะงานเป็น ๓ อย่าง คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก การสมโภช และการเลี้ยงลูกขุน และงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช ในวันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ (ร.ศ. ๑๓๐)


การเตรียมการประกอบพระราชพิธี
การประกอบพิธีเริ่มในวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๔ (ร.ศ. ๑๓๐) มีการประกอบพิธีคือ
- ทำน้ำมนต์อภิเษกตามพระมหาเจดีย์โบราณทั่วพระราชอาณาจักร ๗ แห่ง ตามที่กล่าวมาแล้วรวม ๓ วัน การประกอบพิธีก็ปฏิบัติเช่นเมื่อครั้งการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ แล้วแต่ละแห่งเชิญน้ำอภิเษกเข้ามาร่วมประกอบพิธีในมณฑลพระราชพิธีที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
- ตั้งพระมณฑปสรงพระกระยาสนานในพระบรมมหาราชวัง โดยตั้งตั่งอุทุมพรที่ประทับบนถาดทอง และเครื่องประกอบอื่นๆ เช่นครั้งก่อน
- ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทตั้งพระที่นั่งอัฐทิศประดับพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร๑ เพื่อเป็นที่ทรงรับน้ำอภิเษก และตรงกลางพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทประดิษฐานพระที่นั่งภัทรบิฐมนังคศิลารามราชอาสน์ เป็นรัตนสิงหาสน์
- ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามตั้งพระแท่นมณฑลมีโต๊ะหมู่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่สำคัญ พระสุพรรณบัฏ ดวงพระชนมพรรษา เครื่องราชกกุธภัณฑ์และเครื่องราชูปโภค ตลอดจนเครื่องประกอบพระอิสริยยศ เครื่องใช้ในพิธีพราหมณ์ เทียนมหามงคล และเครื่องนมัสการทองคำราชาวดี ในการพระราชพิธีตั้งกระโจมเทียนชัยกลาง ให้พระราชาคณะมาสวดภาณวารนั่งปรกและเจริญพระพุทธมนต์ รวมทั้งตั้งม้ามีพนักสำหรับราชบัณฑิตนั่งปรก ชักประคำ
- จัดตั้งเก้าอี้ให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ ทหาร พลเรือน ตลอดจนเอกอัครราชทูต ทูตานุทูต นั่งโดยรอบพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
- จัดตั้งและประกอบพระราชพิธีพราหมณ์ที่หน้าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และตั้งเครื่องบวงสรวงเทวดา ณ พระที่นั่งและสถานที่ต่างๆ รวม ๑๗ แห่ง คือ๒
(๑) พระสยามเทวาธิราช
(๒-๕) พระมหาเศวตฉัตรในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และในพระที่นั่งสุทไธศวรรย์ปราสาท
(๖) พระนเรศวรเป็นเจ้า ณ ห้องเครื่องภูษามาลา
(๗) เทวสถานพระอิศวร (ศิวะ)
(๘) เทวสถานพระนารายณ์ (วิษณุ)
(๙) เทวสถานพระพิฆเนศ
(๑๐) เทวรูปที่หอเชือก
(๑๑) พระหลักเมือง
(๑๒) พระเสื้อเมือง
(๑๓) พระกาฬ
(๑๔) พระเพลิง
(๑๕) พระเจตคุปต์
(๑๖) เทวรูปที่หอแก้ว
(๑๗) เทวรูปที่ตึกดิน
พระมหาราชครูพิธีพราหมณ์ได้ทูลเกล้าฯ ถวายใบไม้ ๓ อย่าง๓ ให้ทรงปัด คือ ใบมะม่วง ๒๕ ใบ ได้แก่ ปัดภยันตราย ใบตอง ๓๒ ใบ ได้แก่ ปัดอุปทวันตราย และใบตะขบ ๙๖ ใบ ได้แก่ ปัดโรคันตราย เมื่อทรงปัดแล้วพระราชทานแก่พระมหาราชครูพิธีเพื่อนำไปกระทำพิธีศาสตร์ปุณยาชุบโหมกุณฑ์ แล้วพระมหาราชครูพิธีถวายน้ำพระมหาสังข์ จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้น
- ตั้งซุ้มประดับธง จุดประทีปโคมไฟฟ้า โคมกระดาษ ทั่วไปภายในพระบรมมหาราชวังและประดับธง และอักษรพระปรมาภิไธยย่อ ว.ป.ร. ทุกใบเสมาและป้อม กับทั้งปักฉัตรผ้าแดง ๕ ชั้น ระบายขลิบลวดทองรอบกำแพงเป็นระยะๆ
- พระราชวิถีที่เสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครประดับด้วยฉัตร ธง และเฟื่องฟ้าบุปผามาลาเป็นระยะ๔ และมีปะรำยกพื้นเป็นชั้น เพื่อให้บุตร ภรรยา และญาติของข้าราชการมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทชมพระบารมี
-
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชการจัดเตรียมการรับแขกเมืองต่างประเทศที่สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินกับประธานาธิบดีประเทศต่างๆ โปรดเกล้าให้มาแทนพระองค์๕ อย่างสมเกียรติ อาทิ
(๑) เจ้าฟ้าชายวัลดิมากับพระโอรส ๓ องค์ คือ เจ้าชายโอเก เจ้าชายอักเซล และเจ้าชายเอริก จากประเทศเดนมาร์ก
(๒) เจ้าชายฮิโรยะสุ ฟุชิมิ จากประเทศญี่ปุ่น
(๓) มาควีส อี.ดี.เดอ. ลาเปนเน เอกอัครราชทูตพิเศษผู้แทนพระเจ้าแผ่นดินอิตาลี
(๔) อัครราชทูตประเทศเยอรมันนี ประจำประเทศไทย
(๕) อัครราชทูตประเทศเบลเยียม ประจำประเทศไทย
(๖) อัครราชทูตประเทศฮอลันดา ประจำประเทศไทย
(๗) ผู้แทนประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา
(๘) ท่านดุ๊กและดัชเชส สุเดอร์มาเนียหรือเจ้าชายวิลเลี่ยมและเจ้าหญิงมารีแห่งประเทศสวีเดน
(๙) เจ้าชายอเล็กซานเดอร์กับเจ้าฟ้าหญิงอาเล็กซานเดอร์ออฟเตก แห่งประเทศอังกฤษ
(๑๐) เจ้าฟ้าชายบอริส แห่งประเทศรัสเซีย
(๑๑) ฯพณฯ พิแอร์ ยาคัง เดอมายารี เอกอัตรราชทูตพิเศษ ผู้แทนประธานาธิบดีแห่งประเทศฝรั่งเศส
(๑๒) ท่านเคานต์ ทัดเด เดอ โบเลสทาโกดซิร์อดสกี อัครราชทูตพิเศษผู้แทนพระองค์ สมเด็จพระบรมราชาธิราชกรุงออสเตรีย ฮังการี
(๑๓) ท่านดอนละวิส พาสเทอร์ อีย์ เดอ โมระ อัครราชทูตพิเศษผู้แทนพระองค์สมเด็จพระเจ้ากรุงสเปญ
(๑๔) ท่านแฮร์มัน เลโอโปลด์ เลอเวน สกยอลด์ อัครราชทูตพิเศษผู้แทนพระองค์สมเด็จพระเจ้ากรุงนอรเว
- จัดพระราชพิธีสงฆ์ รวมน้ำอภิเษก ในวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ ได้ประกอบพระราชพิธีเช่นเดียวกับเมื่อครั้ง พ.ศ. ๒๔๕๓ แต่คราวนี้สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ พระราชาคณะเป็นผู้ประกาศเทวดาและมีราชบัณฑิต ๙ นายบูชาจุลาฏฐทิศโหร ๘ นายบูชาเทวดาอภิไทโพธิบาทว์กับบูชานพเคราะห์ ที่พระที่นั่งอัฐทิศ และบูชาจตุโลกบาลที่มณฑปพระกระยาสนาน
๑ ผิดจากครั้งก่อนที่เป็น สตปฎลเศวตฉัตร หรือ ฉัตร ๗ ชั้น มิใช่ ๙ ชั้นอย่างคราวนี้ เพราะเดิมหลังจากที่ทรงรับน้ำอภิเษกจากพระที่นั่งอัฐทิศแล้วจะเสด็จประทับพระที่นั่งภัทรบิฐเพื่อทรงรับพระนพปฎลมหาเศวตฉัตรจากพราหมณ์ แต่อาจจะอนุโลมได้ว่าทรงรับแล้วเมื่อประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรกเดือนพฤศจิกายน ๒๔๕๓ ครั้งนี้เป็นการสมโภช จึงใช้ได้ โดยไม่ต้องมีการถวายพระนพปฎลมหาเศวตฉัตรอีก
๒ ครั้งรัชกาลที่ ๕ ว่าบวงสรวง ๑๕ แห่ง
๓ เรียกว่า ใบสมิทธ
๔ แต่ก่อนปักราชวัติ ฉัตรเบญจรงค์
๕ ดูรายละเอียดในหอจดหมายเหตุ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, อ้างแล้ว, หน้า ๕๕-๖๐


การพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช
การพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช มีขึ้นในวันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ พระราชพิธีได้ดำเนินไปตามราชประเพณีที่เคยปฏิบัติ มาเช่นเดียวกับเมื่อปีก่อน คือใน พ.ศ. ๒๔๕๓ จะแตกต่างตรงที่จัดแบ่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเป็นไปอย่างละเอียด ว่าตำแหน่งใดจะเฝ้าอยู่ที่ไหน คือ แบ่งเป็นตำแหน่งเสนาบดีมียศชั้น นายพลกับนายพันเอก นายพันโทกับนายพันตรี นายร้อย
ตำแหน่งอำมาตย์ มียศชั้นมหาอำมาตย์กับอำมาตย์เอก อำมาตย์โทกับอำมาตย์ตรีชั้นรองอำมาตย์
ตำแหน่งเสวก มียศชั้นมหาเสวก กับเสวกเอก กับยศต่ำลงไปเป็นต้น
อย่างไรก็ดีพบว่า การจัดกระบวนนำเสด็จและกระบวนตามเสด็จพระราชดำเนินจากพระที่นั่งที่ประทับ คือ พระที่นั่งราชปรีดีวโรทัยไปยังพระมณฑปพระกระยาสนานต่างจากกระบวนนำเสด็จอื่น คือ กระบวนนำเสด็จจะมี ๙ คู่ เพิ่มคู่ที่ ๙ (คู่สุดท้าย) คือ
พระพิเรนทรเทพ (ฉาย) เชิญธงชัยพระครุฑพ่าห์ กับ พระอินทรเทพ (ไทย) เชิญธงชัยราชกระบี่ธุช
ส่วนกระบวนตามเสด็จจัดเดิน ๒ สาย และจำนวนคนมีแค่ ๓ คู่ ทั้งนี้ เพราะในการสมโภชนี้ไม่ต้องมีการทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ เครื่องราชูปโภคและพระแสงอัษฎาวุธ จึงมีเฉพาะเจ้าหมื่นสรรพเพชรภักดี (ม.ล.เฟื้อ) ซึ่งต่อมาคือ เจ้าพระยารามราฆพ เป็นผู้เชิญพระแสงดาบประจำรัชกาลนำเสด็จและตามเสด็จ
คู่ที่ ๑
ผู้เชิญพานฉลองพระบาท และผู้เชิญพานฉลองพระองค์ครุย
คู่ที่ ๒-๓
เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ คือ
พระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียร (ม.ร.ว.ปุ้ม) กับนายพลตรีพระยาสุรเสนา (เนิ่น)
พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ (นบ) กับพระยาเทพทวาราวดี (สาย)
ส่วนน้ำอภิเษกนั้น ที่นำมาจากมณฑลต่างๆ ก็ตั้งน้ำอภิเษกมณฑลละทิศ มีราชบัณฑิตและพราหมณ์ถวายน้ำอภิเษกคู่ละทิศ คือ
ทิศตะวันออก (บูรพา)
น้ำอภิเษกจากมณฑลปราจีน
ราชบัณฑิต คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธุ์
พราหมณ์ คือ พระมหาราชครูพิธี (อุ่ม)
ทิศตะวันออกเฉียงใต้ (อาคเนย์)
น้ำอภิเษกจากมณฑลจันทบุรี
ราชบัณฑิต คือ พระมหาวิชาธรรม (เรือง)
พราหมณ์ คือ หลวงญาณสยมภูว์ (แขก)
ทิศใต้ (ทักษิณ)
น้ำอภิเษกจากมณฑลนครศรีธรรมราชและมณฑลปัตตานี
ราชบัณฑิต คือ พระยารักษาสมบัติ (เทศ)
พราหมณ์ คือ หลวงราชมุนี (เอม)
ทิศตะวันตกเฉียงใต้ (หรดี)
น้ำอภิเษกจากมณฑลชุมพรและมณฑลภูเก็ต
ราชบัณฑิต คือ พระปริยัติธรรมธาดา (แพ)
พราหมณ์ คือ หลวงเทพมุนี (ปลอด)
ทิศตะวันตก (ประจิม)
น้ำอภิเษกจากมณฑลนครชัยศรีกับมณฑลราชบุรี
ราชบัณฑิต คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา
พราหมณ์ คือ พระครูวามเทพมุนี (หว่าง)
ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (พายัพ)
น้ำอภิเษกจากมณฑลนครสวรรค์ มณฑลพิษณุโลก และมณฑลพายัพ
ราชบัณฑิต คือ หลวงราชาภิรมย์ (แจ่ม)
พราหมณ์ คือ หลวงสุริยาเทเวศน์ (เอม)
ทิศเหนือ (อุดร)
น้ำอภิเษกจากมณฑลกรุงเก่า มณฑลเพชรบูรณ์ และมณฑลอุดร
ราชบัณฑิต คือ เจ้าพระยายมราช (ปั้น)
พราหมณ์ คือ พระครูอัษฎาจารย์ (พุ่ม)
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน)
น้ำอภิเษกจากมณฑลนครราชสีมา และมณฑลอีสาน
ราชบัณฑิต คือ หลวงญาณวิจิตร (สิทธิ์)
พราหมณ์ คือ หลวงศิวาจารย์ (ริ้ว)
เมื่อสรงมูรธาภิเษกแล้ว ทรงผลัดพระภูษาเป็นทรงเครื่องตามสีพิชัยสงคราม ทรงพระสนับเพลาเชิงงอน พระภูษาสังเวียนพื้นดำ ฉลองพระองค์ตาดทองพื้นดำ ทรงประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นมงคลยิ่ง และพระสังวาลต่างๆ ตลอดจนรัดพระองค์ประจำยามเพชร สวมฉลองพระองค์ครุย และทรงฉลองพระบาทปักทอง เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทนั้นมีกระบวนนำเสด็จ ๒ สาย และกระบวนตามเสด็จเดินเป็น ๔ สาย เช่นเดียวกับกระบวนที่นำเสด็จและตามเสด็จที่เชิญเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ เครื่องราชูปโภค และพระแสงอัษฎาวุธ เสด็จจากพระที่นั่งอัฐทิศไปยังพระที่นั่งภัทรบิฐเมื่อคราวรับน้ำอภิเษก พ.ศ. ๒๔๕๓ และพราหมณ์ทูลเกล้าฯ ถวายเช่นครั้งก่อนทุกประการ
จากนั้นเสด็จออกมหาสมาคมให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และข้าทูลละอองกราบบังคมทูลพระกรุณาแสดงสวามิภักดิ์ ส่วนในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามจัดพิธีสงฆ์มีพระราชาคณะสวดถวายชัยมงคล สวดภาณวารนั่งปรก


การเสด็จเลียบพระนครสถลมารค
การเสด็จเลียบพระนครมีในวันที่ ๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ ก็ได้จัดกระบวนตามที่เคยทำมาในครั้งก่อนๆ และมีทหารปืนใหญ่ยิงปืนใหญ่เฉลิมพระเกียรติ ๑๐๑ นัด แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ผู้แทนของพสกนิกร คือ เจ้าพระยายมราช เสนาบดีกระทรวงนครบาล อ่านคำกราบบังคมทูลพระกรุณาถวายชัยมงคล เป็นอันเสร็จการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภชในรัชกาลที่ ๖
