ขุนนางผู้ใหญ่ซึ่งประกอบด้วยเจ้าพระยาพระคลัง
ว่าที่สมุหพระกลาโหม พระยาราชสุภาวดีว่าที่สมุหนายก
เป็นต้น ได้อัญเชิญสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าฟ้ามงกุฎ
ซึ่งผนวชอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ให้เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ
เมื่อพระองค์ทรงลาผนวชแล้วได้ประทับว่าราชการอยู่ที่
พลับพลาระหว่างโรงแสงต้น ก่อนถึงกำหนดพระฤกษ์
บรมราชาภิเษก
บทนำ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต ขุนนางผู้ใหญ่ซึ่งประกอบด้วยเจ้าพระยาพระคลังว่าที่สมุหพระกลาโหม พระยาราชสุภาวดีว่าที่สมุหนายก เป็นต้น ได้อัญเชิญสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าฟ้ามงกุฎ ซึ่งผนวชอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ให้เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ เมื่อพระองค์ทรงลาผนวชแล้วได้ประทับว่าราชการอยู่ที่พลับพลาระหว่างโรงแสงต้น ก่อนถึงกำหนดพระฤกษ์บรมราชาภิเษก
ในรัชกาลนี้ปรากฏว่าได้มีการถือน้ำพิพัฒน์สัตยาก่อนพระราชพิธีบรมราชาภิเษก๑ ซึ่งประกอบขึ้นในวันพฤหัสบดี เดือน ๖ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ตรงกับวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๙๔ การพระราชพิธีเริ่มตั้งแต่โหรมีชื่อคำนวณพระฤกษ์ ตั้งบายศรีแก้ว บายศรีทอง บายศรีเงิน บายศรีนาก ในวันศุกร์เดือน ๖ ขึ้น ๒ ค่ำ ปีกุน ตรีศกขุนสารประเสริฐ๒ จารึกพระนามลงในแผ่นพระสุพรรณบัฏ กว้าง ๗ นิ้ว ยาว ๑๔ นิ้ว พระมหาราชครูจุณเจิมและประดิษฐานในที่อันควรที่ได้เคยทำมาตามราชประเพณีดังรัชกาลก่อน จากนั้นก็ประกอบการสมโภชเวียนเทียนพระสุพรรณบัฏ๓ ซึ่งกล่าวได้ว่าในรัชกาลที่ ๔ นี้ ทรงแก้พระปรมาภิไธยที่จารึกพระสุพรรณบัฏด้วยเพราะทั้งรัชกาลที่ ๑ รัชกาลที่ ๒ และรัชกาลที่ ๓ มีพระนามขึ้นต้นว่า “สมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี” และมีสร้อยพระนามเหมือนกันทั้ง ๓ รัชกาล จึงโปรดให้ประกาศสั่งให้เรียกพระนามอดีตรัชกาลตามพระนามพระพุทธรูปที่รัชกาลที่ ๓ ทรงพระราชอุทิศ รัชกาลที่ ๑ ให้เรียกว่า แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๒ ให้เรียกว่า แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๓ ให้เรียกว่า แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และเรียกแผ่นดินของพระองค์ว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
๑พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๔ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์, โรงพิมพ์พรจันทร์, ๒๔๗๗ หน้า ๖ พิมพ์เป็นที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพคุณหญิงธรรมสารเนติ (อบ บุนนาค) วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๗ ณ วัดประยุรวงศาวาส
๒ ในรัชกาลก่อนไม่ปรากฏชื่อขุนนางผู้จารึกพระนามในแผ่นพระสุพรรณบัฏ
๓ มิได้บอกสถานที่สมโภชพระสุพรรณบัฏ แต่เข้าใจว่าในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามเช่นครั้งรัชกาลก่อน
การเตรียมการจัดสถานที่
- มีการจัดตั้งโรงพิธีพราหมณ์ ที่หน้าพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย๑ และตั้งพิธีสงฆ์ที่ในพิธี พระสวดท้องภาณ หลังลับแลตั้งเครื่องนมัสการ ตั้งโคมเทียนชัย ตั้งเครื่องทุกสิ่ง ตั้งต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง ตกแต่งเปลี่ยนพระมหาเศวตฉัตรใหม่และแต่งที่สำหรับพระสงฆ์สวดพระปริตร ๓๐ รูป
- พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ด้านทิศตะวันออกตั้งพระแท่นแว่นฟ้ามีเพดานระบายตาด ตั้งพระธาตุ พระพุทธรูปต่างๆ พระสุพรรณบัฏ ดวงพระชันษา เครื่องมูรธาภิเษก พระเต้าต่างๆ พระมหาสังข์ต่างๆ เครื่องราชกกุธภัณฑ์ เครื่องราชูปโภค และพระแสงต่างๆ ดังที่เคยได้ปฏิบัติในรัชกาลก่อนๆ และมีของที่เพิ่มขึ้นอีกหลายสิ่ง คือ
พระพุทธรูปที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ พระพุทธบุษยรัตน์ พระแก้วเชียงแสน พระแก้วเรือนทอง พระชัยทอง พระชัยเงิน พระชัยนวโลหะ พระชัยผ้าห่มลงยาราชาวดี พระชัยศรี พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร๒ ครอบพระกริ่ง สร้อยธุรำ๓ พระเต้าที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ พระเต้าเบญจครรภ ซึ่งในครั้งรัชกาลที่ ๔ มีกล่าวถึง ๒ องค์ ว่าพระเต้าเบญจครรภประดับเพชรพลอย ๕ อย่าง ทำด้วยโมราองค์หนึ่ง และทำด้วยศิลาหยกองค์หนึ่ง พระเต้าเทวบิฐ พระเต้าไกรลาส พระเต้านวเคราะห์ พระเต้าบังกะลี
เครื่องราชูปโภคที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ฉลองพระองค์ ๓๒ ชิ้น พระภูษา ๗ สี ขวดใส่น้ำศีรษะ ขวดแก้วใส่น้ำ ๒ ขวด พระสุพรรณภาชน์ใหญ่ พระสุพรรณภาชน์น้อย พระเต้าราชาวดี
ที่แปลกกว่ารัชกาลอื่น คือ สายสิญจน์ซึ่งใช้หญ้าคาถักประสมกันกับด้ายสายสิญจน์ - ตั้งเครื่องนมัสการทำด้วยไม้อุทุมพร ตั้งบาตรน้ำ บาตรทราย เช่นที่เคยทำ
- ที่พระสงฆ์นั่งเจริญพระปริตร ๕๐ รูป
- พระที่นั่งอัฐทิศทำด้วยไม้อุทุมพร ตั้งที่ริมพระแท่นพิธีแว่นฟ้า มีพระเศวตฉัตรปักกลาง มีรูปเทวดารอบทั้ง ๘ ทิศ ตั้งกลศ สังข์ พานทอง เครื่องบูชาเทวดาทุกทิศดังเช่นที่เคยตั้งในคราวก่อน
- พระที่นั่งภัทรบิฐ ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์หุ้มด้วยเงินชั้นหนึ่ง ทองชั้นหนึ่ง๔ เศวตฉัตร ๗ ชั้น ลาดผ้าอุทุมพรบนพื้นพระที่นั่ง วางแผ่นทองเขียนรูปราชสีห์ด้วยชาดหรคุณแล้ววางตารางคาแผ่นทอง๕ พราหมณ์โรยแป้งสาลี๖ เสกด้วยอิศวรมนต์แล้วปูผ้าลาดบนพระที่นั่งภัทรบิฐ
- ที่แปลกว่ารัชกาลก่อน คือ ที่มุขกระสัน พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายในตั้งเครื่องบูชาหน้าเสาทุกเสา
- พระมณฑปพระกระยาสนานสรงน้ำมูรธาภิเษกทำด้วยไม้อุทุมพร กล่าวว่าครั้งนี้เป็นมณฑปเครื่องทองคำ เพดานและม่านผ้าขาวเขียนลายทองประดับราชวัติ ฉัตรทอง ฉัตรเงิน ฉัตรนาก โดยรอบทั้งสี่ทิศเช่นรัชกาลก่อน ในพระมณฑปตั้งพระแท่นสรงลาดผ้าขาววางถาดทองรองใบไม้ชัยพฤกษ์ ในถาดปิดด้วยผ้าโขมพัสตร์
- พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ในพระมหามณเฑียร๗ ตั้งแท่นทองดาดเพดาน บนแท่นตั้งพระบรมธาตุ พระพุทธรูปปางห้ามสมุทรทองคำ พระชัย และเครื่องนมัสการมีเทียนเท่าพระองค์เล่มหนึ่ง เทียนพระมหามงคลเล่มหนึ่ง พระมหามงคลองค์หนึ่ง สำหรับสวมตอนฟังสวด พานทองรองดอกหมากทองคำ พานทองรองลูกกุญแจ พานทองถั่ว พานทองงา พานทองฟัก พานทองศิลาบด และพานทองข้าวเปลือก
- บนพระแท่นบรรทม แต่งที่พระสวด ๕ รูป แต่งที่เสด็จฟังพระปริตรแห่งหนึ่ง และที่ริมที่ตั้งพระภูษาทรงพระพักตร์กับพระครอบทองคำ๘
- ด้านนอกพระราชวัง ปักราชวัติฉัตรเบญจรงค์ ๗ ชั้น
- รอบพระราชวังชั้นใน ชั้นนอก ที่ประตูมีเสาธงจุดประทีปหน้าประตูเป็นคู่ๆ ทุกประตู
- การพิเศษ คือ ขอแรงขุนนาง เจ้าภาษี นายอากร กับจีนนายสำเภา เอาโต๊ะเครื่องสักการบูชาเข้าไปตั้งในพระราชวังเต็มแล้ว เอาไปตั้งรายรอบวัดพระศรีรัตนศาสดารามรวมเป็นโต๊ะเครื่องบูชา ๑๐๐ โต๊ะ
- ตามประทีปชวาลาบนกำแพงแก้วพระมหามณเฑียรพระมหาปราสาท โดยจ่ายน้ำมันคืนหนึ่ง ๗,๐๐๐ ดวง ซึ่งเรื่องนี้ก็พบว่าเป็นการพิเศษอีกเช่นกัน เพราะไม่ปรากฏว่ามีการจัดในรัชกาลก่อน
๑รัชกาลที่ ๒ ประกอบพิธีที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณและพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน เพราะทรงใช้พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยเป็นที่ประทับ
๒ เดิมตั้งองค์เดียวแต่ในครั้งนี้ตั้ง ๒ องค์
๓ เข้าใจว่าจะหมายถึงพระมหาสังวาลพราหมณ์ในครั้งรัชกาลก่อน
๔ ครั้งรัชกาลที่ ๑ มีเฉพาะหุ้มเงิน
๕ รัชกาลก่อนๆ ลาดด้วยหญ้าคา ซึ่งวางอยู่บนพระที่นั่งได้แผ่นทองเขียนรูปราชสีห์
๖ รัชกาลก่อนๆ โรยแป้งสาลีก่อนวางแผ่นทองเขียนรูปราชสีห์
๗ บรรยายเครื่องตั้งในพิธีละเอียดกว่าที่เคยบันทึกในรัชกาลก่อน และบางอย่างเดิมมิได้ตั้งไว้บนแท่นด้วย
๘ เดิมสองสิ่งนี้ไม่มีปรากฏในหมายครั้งรัชกาลก่อนๆ
๘๕ รูป
การเตรียมการพระราชพิธี
การเตรียมการพระราชพิธีได้จัดทำกันเป็นเวลา ๓ ปี ก่อนวันประกอบพระราชพิธีจริง นั่นคือ พราหมณ์เชิญเทวรูปเข้าสู่พิธี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว๑ เข้ากระบวนแห่มีพระบรมวงศานุวงศ์๒ ข้าราชการ๓ ตามเสด็จ หมู่องครักษ์ขัดกระบี่ นำแห่เสด็จพระราชดำเนินเข้าในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทรงถวายผ้าไตร ย่าม พัดวิชนี แก่พระสงฆ์ราชาคณะ ๘๕ รูป ครองผ้าไตรแล้ว ทรงถวายเทียนชนวนแก่กรมหมื่นนุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัตติยวงศ์ให้ทรงจุดเทียนชัย แล้วพระสงฆ์ราชาคณะสวดพระพุทธมนต์ที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ๓๐ รูป เข้าไปสวดในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ๕๐ รูป เข้าไปสวดในพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ๕ รูป
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเข้าไปในพระที่นั่งไพศาลทักษิณจุดเครื่องนมัสการทรงศีล ฟังพระสงฆ์ประกาศเทวดาแล้วเสด็จไปในพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานจุดเทียนเครื่องนมัสการ ฟังพระสงฆ์เจริญพระปริตรและทรงถวายไทยทานเป็นเช่นนี้ทุกวัน
๑ ทรงฉลองพระองค์ด้วยการทรงพระภูษาลายเขียนทองพื้นขาวฉลองพระองค์กรองทองพื้นขาว รัดพระองค์ประดับเพชร
๒ พระบรมวงศานุวงศ์แต่งพระองค์ทรงผ้าเขียนทองคาดเสื้อครุยต่างสี
๓ ข้าราชการนุ่งสมปักลาย คาดเสื้อครุยขาว
วันพระฤกษ์บรมราชาภิเษก
ในวันพระฤกษ์บรมราชาภิเษกนั้น การต่างๆ ดำเนินไปตามที่เคยปฏิบัติอันเป็นราชประเพณีสืบต่อมา และมีหลายอย่างที่ประกอบขึ้นพิเศษกว่ารัชกาลก่อน ทั้งการพิธีฝ่ายสงฆ์ และการพิธีฝ่ายพราหมณ์ นั่นคือ เมื่อได้พระฤกษ์ พระสงฆ์ราชาคณะเข้าไปพร้อมประจำที่ทุกแห่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเข้าในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ทรงจุดเทียนนมัสการ
เมื่อได้พระมหาพิชัยฤกษ์เจ้าพนักงานเชิญเสด็จสรงพระกระยาสนาน ชาวภูษามาลาถวายพระภูษาขาวขลิบทอง ราชบัณฑิตเชิญพระชัย พระครูพราหมณ์เชิญพระพิฆเนศโปรยข้าวตอกเป่าสังข์ทักขิณาวัฏ นำเสด็จไปสู่มณฑลพระกระยาสนาน ขึ้นประทับเหนือตั่งอุทุมพร บ่ายพระพักตร์สู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ชาวภูษามาลาถวายเครื่องมูรธาภิเษก ไขสหัสธารา
สรงสหัสธาราแล้ว พระบรมวงศานุวงศ์ผู้ใหญ่ฝ่ายบรรพชิต คฤหัสถ์ เข้าไปถวายน้ำพระเต้าปทุมนิมิตร จากนั้นตามด้วยพระบรมวงศ์เสนาบดีผู้ใหญ่คือ
- กรมหมื่นนุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัตติวงศ์ ถวายน้ำพระเต้าแก้ว
- พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าฤกษ์ ถวายน้ำพระเต้าเนาวโลหะ
- สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ถวายน้ำพระเต้าทอง
- พระบรมวงศ์เธอ กรมขุนรามอิศเรศ ถวายน้ำพระเต้าเงิน
- พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมขุนเดชอดิศร ถวายน้ำพระเต้านาก
- พระเจ้าพี่นางเธอ กรมขุนพิพิธภูเบนทร์ ถวายน้ำพระเต้าสำริด
- เจ้าพระยาพระคลัง ว่าที่สมุหพระกลาโหม ถวายน้ำพระเต้ามังสีเครื่องทอง
- พระยาศรีพิพัฒนรัตนราชโกษา ถวายน้ำพระเต้ามังสีเครื่องเงิน
เมื่อทรงน้ำเต้าปทุมนิมิตรแล้ว พราหมณ์ถวายน้ำสังข์ต่อ คือ
- หลวงศรีสิทธิชัยหมอเฒ่า ถวายน้ำพระสังข์ทักขิณาวัฏ
- พระมหาราชครูพิธี ถวายน้ำพระเต้าเบญจครรภ
- พระครูอัษฎาจารย์ ถวายน้ำพระมหาสังข์ทอง
- หลวงจักรปาณี ถวายน้ำพระมหาสังข์เงิน
- หลวงราชมุนี ถวายน้ำพระมหาสังข์นาก
- หลวงศิวาจารย์ ถวายน้ำพระมหาสังข์งาจำเริญช้างเผือก
- หลวงเทพาจารย์ ถวายน้ำพระครอบ
ระหว่างที่ถวายน้ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับน้ำด้วยพระหัตถ์
มาสรง แล้วพราหมณ์เป่าพระมหาสังข์ทักขิณาวัฏ ๒ องค์ พระมหาสังอุตราวัฏ ๖ องค์ เจ้าพนักงานประโคมดุริยางคดนตรี มโหระทึก แตร สังข์ บัณเฑาะว์ พระสงฆ์สวดชัยมงคล
ครั้งสรงมูรธาภิเษกแล้ว พระสงฆ์ทั้ง ๕๐ รูปเข้าไปในพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ชาวพระภูษามาลาถวายพระภูษาทรงผลัดพื้นเหลืองเขียนทอง ทรงฉลองพระองค์ตาดริ้วทอง เสด็จกลับมาประทับบนตั่งอุทุมพร ทรงผันพระพักตร์ไปยังทิศตะวันออก ตั่งอัฐทิศนี้มีตั่งอัฐทิศเล็กล้อมทั้งแปดทิศ และมีราชบัณฑิตประจำทิศละคน จากนั้น ราชบัณฑิตประจำทิศตะวันออก (บูรพา) กล่าวคำอันเป็นมงคลเป็นภาษามคธ ถวายมอบแผ่นดินอันเป็นที่ตั้งแห่งพระพุทธศาสนา ทรงรับด้วย
พระเต้าเบญจครรภโมราประดับเพชรประดับทับทิม๑ จากนั้นพราหมณ์ถวายน้ำพระมหาสังข์ทักขิณาวัฏ น้ำกลศ ทรงรับมาสรงพระพักตร์แล้วเสวยหน่อยหนึ่ง แล้วผันพระองค์ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ (อาคเนย์) โดยการเวียนขวา ทรงรับน้ำพระปริตรน้ำสังข์ทั้ง ๘ ทิศ แล้วจากนั้นเสด็จพระราชดำเนินขึ้นประทับบนพระที่นั่งภัทรบิฐ ผันพระพักตร์สู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน)
- พระครูพราหมณ์ อ่านอิศวรเวทสรรเสริญเขาไกรลาส กราบบังคมทูลถวายสิริราชสมบัติ๒
- เจ้าพนักงานกราบบังคมทูลถวาย พระมหาบวรเศวตฉัตร๓
- พระมหาราชครู ถวายพระสุพรรณบัฏ พระมหาพิชัยมงกุฎ พระมหาสังวาล ทรงรับมาสวม
- พระมหาราชครู ถวายธารพระกร พระแสงขรรค์ พระแสงอัษฎาวุธ เครื่องราชกกุธภัณฑ์ เครื่องราชูปโภค
จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงมีพระบรมราชโอการ พระราชทานธัญญาหารในแผ่นดินแก่สมณพราหมณาจารย์ ตามราชประเพณีที่เคยปฏิบัติ แล้วทรงโปรยดอกพิกุลทอง พิกุลเงิน ทรงหลั่งน้ำทักษิโณทก พราหมณ์เป่าพระมหาสังข์ ประโคมดนตรี หยุดประโคมแล้วเสด็จเข้าไปในพระมหามณเฑียร ทรงถวายสำรับคาวหวานแก่พระสงฆ์ราชาคณะ มีกรมหมื่นนุชิตชิโนรสเป็นประธาน รับพระราชทานฉันแล้วทรงถวายเครื่องสมณบริขารและเครื่องไทยธรรม พระสงฆ์ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา พระครูพระราชพิธีขึ้นไปบนพระมหามณเฑียร ประพรมน้ำกลศรอบพระมหามณเฑียรทั้งข้างใน ข้างนอก และถวายพระพร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ถวายไทยธรรมแก่พระสงฆ์ราชาคณะ ๓๐ รูป แล้วพระสงฆ์จึงถวายพระพรลาไป แล้วเสด็จเข้าในพระสูตร ทรงผลัดพระภูษาเขียนทองต่างสี ทรงฉลองพระองค์พระกรน้อยชั้นใน ฉลองพระองค์ครุยชั้นนอก ทรงพระมหาชฎาเดินหน เครื่องราชกกุธภัณฑ์ เสด็จออกประทับบนพระที่นั่งภายใต้พระนพปฎลมหาเศวตฉัตร อันเป็นการเสด็จออกมหาสมาคม๔ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท ผู้ใหญ่ ผู้น้อย ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน๕ ตลอดจนบรรดาแขกเมือง๖ ได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัย๗ และข้าทูลละอองพระบาทถวายสรรพสิ่ง ซึ่งเป็นเครื่องประดับพระบรมราชอิสริยยศ๘ ตามราชประเพณี
- เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) ว่าที่สมุหพระกลาโหมถวายพระมหาพิชัยราชรถและเรือพระที่นั่งศรีสมรรถชัย เรือพระที่นั่งไกรสรมุข เรือพระที่นั่งชื่อต่างๆ เรือกระบวนใหญ่น้อยและเครื่องสรรพยุทธ กับเมืองเอก โท ตรี จัตวา ไพร่พลฝ่ายทหาร
- พระยาราชสุภาวดี (โต) ว่าที่สมุหนายกถวายพระยาช้างพระที่นั่งต้น พระยาม้าพระที่นั่งต้น กับเมืองเอก โท ตรี จัตวา ไพร่พลฝ่ายพลเรือน
- พระยาบำเรอภักดิ์ ราชปลัดทูลฉลองฝ่ายกรมวังถวายพระมหามณเฑียรปราสาทราชนิเวศน์ พระราเชนทรราชยาน
- พระยาเพ็ชรปาณี ราชปลัดทูลฉลองฝ่ายกรมเมืองถวายกรุงเทพฯ
- พระยาประชาชีพ ราชปลัดทูลฉลองฝ่ายกรมนาถวายธัญญาหารแดนสถานลานนาเขตต์
- พระยาพิพัฒนโกษา ราชปลัดทูลฉลอง๙ ฝ่ายกรมท่าถวายเครื่องพระพัทธยากร ราชสมบัติทั้ง ๑๒ พระคลัง
จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการปฏิสันถารแก่เจ้าพระยาและพระยาทั้งปวงว่า สิ่งของทั้งปวงนี้ จงจัดการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาสืบไป และทรงปราศรัยกับแขกเมือง ทั้งให้จัดเลี้ยงแขกเมืองด้วย และโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานเอาดอกพิกุลทอง ดอกพิกุลเงิน และเงินตราทอง ตรามงกุฎแบบต่างๆ ที่ใช้ ใส่ถุงผ้าแดงคิดเป็นเงินตรา ๒ ตำลึง กับดอกพิกุล คนละ ๒ ดอก ไปพระราชทานทุกคน๑๐
หลวงราชมนู ชูพุ่มดอกไม้ทองเป็นสัญญา พราหมณ์เป่าสังข์ ชาวแตรเป่าแตร ชาวประโคมประโคมดนตรี พิณพาทย์ มโหระทึก กลองชนะ ฆ้องชัย พร้อมกัน จางวางมหาดเล็กตีกรับเป็นสัญญาณให้ข้าราชการทั้งปวงกราบถวายบังคม ๓ หน
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับขึ้นพระที่นั่งไพศาลทักษิณประทับเหนือพระที่นั่งภัทรบิฐ พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการฝ่ายในตั้งดอกไม้ธูปเทียนถวายตัว
ท้าววรจันทร์กราบทูลถวาย ๑๒ พระกำนัล ครั้งได้พระฤกษ์ เสด็จเข้าสู่พระมหามณเฑียร มีพิธีการตามราชประเพณีเฉลิมพระราชมณเฑียรเช่นรัชกาลก่อน๑๑ ครั้งนี้พระองค์เจ้าพลับ ถวายดอกหมากทองคำ และพระแส้หางช้างเผือกผู้ ซึ่งพระแส้นั้นมิเคยถวายมาในรัชกาลก่อนๆ ท้าวทรงกันดาลถวายกุญแจทองคำ
หลังจากเฉลิมพระราชมณเฑียรเป็นพระฤกษ์แล้ว เสด็จไปยังวัดพระศรีรัตน-
ศาสดารามโดยทรงพระราชยานกงถมตะทองกงกระจังทำด้วยทองคำ จำหลักลายกุดั่นประดับพลอยเนาวรัตน์แห่ไปทางพระฉนวน ทรงโปรยเงิน๑๒
เมื่อเสด็จถึงพระอุโบสถ ทรงจุดเทียนนมัสการพระพุทธปฏิมากร และทรงจุดเทียนกราบถวายบังคมพระบรมอัฐิสมเด็จพระบรมอัยกาธิราช (รัชกาลที่ ๑) และพระราชบิดา (รัชกาลที่ ๒) พระสงฆ์สดับปกรณ์ เสร็จแล้วเสด็จโดยประตูพิมานไชยศรีไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทรงจุดเทียนนมัสการถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสงฆ์สดับปกรณ์แล้ว
เสด็จพระราชดำเนินทรงโปรยเงินไปทางข้างใน สู่พระมหามณเฑียร
ตอนบ่ายเจ้าพนักงานตั้งบายศรีทอง บายศรีเงิน บายศรีตอง พระบรมวงศานุ-
วงศ์ทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายในและข้าราชการเวียนเทียน ๗ รอบ เป็นการเฉลิมพระมหามณเฑียร
วันรุ่งขึ้นพระสงฆ์ราชาคณะ ๕๐๐ รูป สวดพระพุทธมนต์พิธีถือน้ำในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
วันรุ่งขึ้นจัดพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา และพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายในจัดดอกไม้ ธูปเทียนเข้าไปถวายตัวตามราชประเพณี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดของพระราชทานแจกผู้มีความดีความชอบมากน้อยกว่าพันคน
ราษฎรปักเสาธงตามประทีมโคมแขวน ตั้งโต๊ะบูชาตามบ้านเรือน มีเครื่องเล่นสมโภชอยู่ทั่วไปตลอดการพระราชพิธี
๑ การนี้มิได้ปฏิบัติในรัชกาลก่อน มีขึ้นในรัชกาลที่ ๔ นี้เป็นครั้งแรก
๒,๓ ครั้งรัชกาลที่ ๑ ถวายหลังเครื่องราชกกุธภัณฑ์ และเครื่องราชูปโภค
๔ แต่เดิมมาไม่มีธรรมเนียมนี้ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
๕ แต่งตัวเต็มยศอย่างเสด็จออกใหญ่ ฝ่ายในจัดทหารอย่างยุโรปขึ้นแถวหนึ่ง ๒๐๐ คน ฝ่ายนอกประตูพิมานไชยศรี จัดทหารไทย ๑๐ หมู่ ๑,๐๐๐ คน แต่งตัวถืออาวุธต่างๆ เป็นเหล่าๆ ยืนสองฟากถนน ผูกช้างต้น ม้าต้น ยืนในปะรำประจำที่เกย คือ พระไชยานุภาพ ผูกเรือพระที่นั่งศรีสมรรถชัย เรือพระที่นั่งไกรสรมุข มีบุษบกฝีพาย พร้อมอยู่หน้าพระตำหนักน้ำ
๖ แขกเมืองต่างประเทศ เขมร ลาวลื้อ ลาวเมืองหลวงพระบาง เมืองน่าน อันเป็นเมืองมาอ่อนน้อมถวายต้นไม้ทอง ต้นไม้เงิน เป็นเครื่องราชบรรณาการ นอกจากนี้ยังมีอังกฤษ อเมริกัน วิลันดา โปรตุเกส แขกเทศมลายู
๗ เมื่อประทับพระราชอาสน์ ชาววังไขพระสูตร ชาวประโคมประโคมแตรสังข์ มโหรี พิณพาทย์ กลองมโหระทึก กลองชนะ ฆ้องชัย หลวงราชมนูชูพุ่มดอกไม้ทอง จางวาง มหาดเล็กตรีกรับเป็นสัญญาณให้ถวายบังคมพร้อมกัน สุดเสียงประโคมพราหมณ์อ่านวิษณุเวทอิศวรมนต์ เป่าพระมหาสังข์ ถวายชัยมงคล
๘ พระศรีภูมิปรีชาเสนาบดีศรีสารลักษณ์ นำกราบบังคมทูลถวายสรรพสิ่ง ซึ่งเป็นเครื่องประดับพระบรมราชอิสริยยศและราชสมบัติทั้งปวง ดูในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๔, เจ้าพระยาทิพากรวงศ์, อ้างแล้ว, หน้า ๑๗-๒๓
๙ เดิมการถวายตั้งแต่พระมหามณเฑียรมาจนถึงเครื่องพระพัทธยากรราชสมบัติทั้ง ๑๒ พระคลังนั้นเป็นหน้าที่ของจตุสดมภ์ แต่ในสมัยรัชกาลที่ ๔ จตุสดมภ์ว่าง
๑๐ เดิมไม่มีการนี้ มีขึ้นในรัชกาลที่ ๔ เป็นครั้งแรก
๑๑ ดูในพระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ ๔, อ้างแล้ว, หน้า ๒๓-๒๔
๑๒ พระยาวิเศษสงครามพาพวกพ่อค้าอังกฤษ อเมริกัน วิลันดา โปรตุเกส คอยเฝ้าที่พระระเบียง ซึ่งการนี้มิเคยมีมาก่อน
การเสด็จเลียบพระนคร
ในรัชกาลที่ ๔ ปรากฏว่าเมื่อสิ้นสุดการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดการเสด็จเลียบพระนครขึ้นเป็นพระราชพิธีสืบเนื่องตามราชประเพณี แต่ในคราวนี้โปรดเกล้าฯ ให้จัดทั้งกระบวนพยุหยาตราสถลมารค และกระบวนพยุหยาตราชลมารค๑
๑สมัยกรุงรัตนโกสินทร์มีขึ้นเป็นครั้งแรก เดิมจัดเฉพาะกระบวนพยุหยาตราสถลมารค
กระบวนพยุหยาตราสถลมารค
กระบวนพยุหยาตราสถลมารคในครั้งรัชกาลที่ ๔ นี้ การจัดแต่งประดับประดาตามถนนก็เป็นไปตามราชประเพณี
- ปักฉัตรเบญจรงค์ ๗ ชั้น และราชวัติสองฟากถนน ตามราชวัติมีพิณพาทย์ กลองแขก
- ราษฎรยกธง ตั้งโต๊ะเครื่องสักการะบูชาอย่างไทยและจีน
การจัดกระบวนพยุหยาตรา ประกอบด้วยคนหมื่นคนเดินเป็นกระบวน ๔ สาย เริ่มด้วย
- กระบวนม้า ถือธงชัย ธงฉาน อาวุธ นำหน้า
- ทหารแต่งอย่างทหารยุโรป ลากปืนใหญ่
- ทหารแต่งอย่างทหารยุโรป ถือปืนคาบศิลา
- ทหารกองอาสาอย่างไทย๑ ถืออาวุธต่างๆ เป็นหมวดหมู่
- กลองชนะ กลองเงิน กลองทอง กลองมโหระทึก สังข์ แตรงอน แตรฝรั่ง
- เครื่องประโคม เครื่องสูง บังแทรก บังสูรย์๒ อภิรุมชุมสาย
- มหาดเล็ก เชิญพระแสงเดินตามหว่างเครื่องสูง
- พระที่นั่งราเชนทรยาน๓ ที่ประทับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องต้นอย่างใหญ่ ทรงพระมหาพิชัยมงกุฎ
- พระบรมวงศานุวงศ์ ทรงพระมาลาเครื่องทองคำลงยา สวมฉลองพระองค์เข้มขาบ จีบเอว ทรงม้าที่นั่ง มีมหาดเล็กเชิญเครื่องตามเสด็จเป็นคู่ๆ
- หน้ากระบวนมีเจ้าพระยาพระคลัง ว่าที่สมุหพระกลาโหม บรมวงศาเสนาบดี ขี่เสลี่ยงงากั้นกลด มีทะลวงฟันถือมัดหวายนำหน้า มีทหารถือเครื่องยศตาม
- หลังกระบวนมีพระยาศรีพิพัฒนรัตนราชโกษาบรมวงศาเสนาบดี ขี่เสลี่ยงงากั้นกลด มีนักการในกรมถือมัดหวายนำหน้า ๔ คน มีทนายถือเครื่องยศตาม
- ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย ซึ่งมิได้เข้ากระบวนแห่ ขี่แคร่มีเครื่องยศตามไปเบื้องหลัง
การเคลื่อนกระบวนให้สัญญาณ คือ กองฝรั่งแม่นปืนยิงปืนคำนับ ๒๑ นัด๔ ระหว่างทางทรงโปรยเงิน๕ ให้ทานไปตลอดทางกระบวนถึงหน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นพลับพลาเปลื้องเครื่องทรง แล้วเสด็จพระราชดำเนินเข้าพระอุโบสถ นมัสการถวายไทยธรรมแก่พระสงฆ์
เสด็จกลับ ทรงเปลี่ยนเครื่องทรงเป็นเครื่องต้นสำหรับพิชัยยุทธ ทรงพระมหามาลาเส้าสูงยอดประดับเพชร เสด็จขึ้นพระยานนุมาศแห่อ้อมวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กลับเข้าพระบรมมหาราชวัง
๑ เจ้ากรม ปลัดกรม นายทหาร แต่งตัวสวมเสื้อทรงประพาส หมวกตุ้มปี่ ขัดกระบี่บั้งนาก บั้งเงิน ไพร่ทหาร สวมกางเกง เสื้อเสนากุฎ หมวกหนัง
๒ บังแทรก บังสูรย์ ว่าบางครั้งเรียกรวมกันว่าบังแทรกพระสุริยา
๓กล่าวว่าเป็นพระที่นั่งมณฑปยอดหุ้มด้วยทองคำ คาดกระจังจำหลักลายกุดั่น ประดับพลอยสีต่างๆ
๔ การนี้มีขึ้นในรัชกาลนี้เป็นครั้งแรก
๕ เงินตรามงกุฎ ซึ่งเป็นเงินตราใหม่ที่สร้างขึ้นประจำรัชกาลที่ ๔
กระบวนพยุหยาตราชลมารค
หลังจากที่เสด็จเลียบพระนครด้วยกระบวนพยุหยาตราสถลมารคแล้ว รัชกาลที่ ๔ ได้โปรดเกล้าฯ ให้เตรียมการเสด็จเลียบพระนครด้วยกระบวนพยุหยาตราชลมารคขึ้น ได้มีราษฎรที่อยู่แพได้จัดตั้งโต๊ะเครื่องบูชาทั้งแบบไทยและจีน กระทำสักการะบูชารับเสด็จ การจัดริ้วกระบวนเป็นไปอย่างมโหฬารยิ่ง
กระบวนเรือนำเสด็จ
- เรือแง่ทราย ๖ ลำ มีธงหน้าธงท้าย หัวเรือตั้งปืนบะเรียมลำละกระบอก มีเจ้ากรม ๑ คน พลแจว ๖๐ คน
- เรือประตูแห่กระบวนหน้า
- เรือกัญญา (พระเทพผลู) เรือกัญญา (พระราชรองเมือง)
- เรือเหราลายกำมะลอ มีกูบจัตุรมุข มีปืนใหญ่หน้าเรือ ๑ กระบอก มีฝรั่งแม่นปืนลำละ ๔ คน หลวงเสน่ห์สรชิตเป็นนายลำ ฝีพายลำละ ๔๑ คน
- เรือแซสารสินธุ์ (พระยาภักดีสงคราม) เรือแซคชรำบาญ (พระยารัตนจักร)
- เรือแซตะเลงละวล (พระยาสีหราชา) เรือแซตลุมละเวง (พระยาฤทธิคำรณภพ)
- เรือแซศรีปัทมสมุทร (พระยาจงใจหาญ) เรือแซรวารี (พระยากำแหงหาญณรงค์)
- เรือแซจระเข้คะนอง (พระยาอัครศิริ) เรือแซจระเข้คำรามร้อง (พระยา
จัตุรงคฤทธิ) - เรือแซเพชรปูมคาม (พระยาปราบปัจจามิตร) เรือแซชิงไชเยศขวา (พระยาแผลงศัตรู)
- หมู่เรือแซ ๑๐ ลำนี้ ผูกปืนอยู่หน้าเรือ มีธงท้าย มีฝรั่งแม่นปืนลำละ ๒ คน นายลำแต่งตัวเป็นรามัญ คนตีกรรเชียง แต่งตัวโพกผ้าเป็นรามัญ สวมเสื้อสีคราม เรือแซมีคนลำละ ๕๒ คน
- เรือพาลีรั้งทวีป เจ้าพระยาอัครอุดมบรมเสนาบดี (เจ้าพระยาพระคลังว่าที่สมุหพระกลาโหม) เป็นนายลำ ฝีพาย ๖๐ คน
- เรือกัญญา (พระยาราชนิกูล) เรือกัญญา (พระยาเทพอรชุน)
- ฝีพายลำละ ๔๐ คน
- เรือสารวัตร เรือสารวัตร
- ฝีพายลำละ ๒๓ คน
- เรือเอกชัยพื้นดำ มีธงหน้าธงท้าย ตั้งมณฑปตรงกลางประดิษฐานพระชัย มีฉัตร ๕ ชั้นปักเคียงมณฑป ตำรวจใหญ่ ซ้ายเป็นนายลำ ฝีพาย ๕๘ คน
- เรือกัญญากลองนำเสด็จ พระยาวิชิตณรงค์ เป็นนายลำ ฝีพาย ๒๕ คน
- เรือกิ่งไกรสรมุข เรือกิ่งชลพิมานชัย
- มีธงปักหน้าปักท้าย มณฑปกลางตั้งพระมหากฐิน วางผ้าทรงพระพุทธรูป มีฉัตร ๕ ชั้น ปักซ้ายขวาข้างมณฑป เจ้าพนักงานเป็นนายลำ ฝีพายลำละ ๕๒ คน
- เรือกระบี่ปราบเมืองมาร (พระมหาสงคราม) เรือกระบี่ราญรอนราพณ์ (พระอนุรักษ์โยธา)
- มีธงหน้าเรือ มีคนกระทุ้งเส้า มีนายลำ ฝีพายลำละ ๓๕ คน
- เรือเสือคำรณสินธุ์ (หลวงแสงสรสิทธิ์) เรือเสือทะยานชล (หลวงเดชสำแดง)
- เจ้ากรมทหารปืนปากน้ำเป็นนายลำ มีคนกระทุ้งเส้า ฝีพายลำละ ๓๘ คน
- เรือโตฝืนสมุทร (หลวงโยธาภักดี) เรือโตขมังคลื่น (หลวงวิจารณ์โกษา)
- เจ้ากรมไพร่หลวง กรมสินค้าเป็นนายลำ มีคนกระทุ้งเส้า ฝีพายลำละ ๓๐ คน
- เรือสางชาญชลสิทธุ์ (หลวงนราเรืองเดชา) เรือสางกำแหงหาญ (หลวงพิทักษ์โยธา)
- เจ้ากรมไพร่หลวงอาสาใหม่กรมท่าเป็นนายลำ มีคนกระทุ้งเส้า ฝีพายลำละ ๓๐ คน
- เรือเหราลีลาสมุทร (หลวงสกลพิมาน) เรือเหราล่องลอยสินธุ์ (หลวงวิเชียรไพชยนต์)
- เจ้ากรมไพร่หลวง กรมวังเป็นนายลำ มีคนกระทุ้งเส้า ฝีพายลำละ ๓๐ คน
- เรือกิเลนละเลิงชล (หลวงสุรินทรเดช) เรือกิเลนประลองเชิง (หลวงเทพเดช)
- เจ้ากรมทำลุเป็นนายลำ มีคนกระทุ้งเส้า ฝีพายลำละ ๓๐ คน
- เรือมังกรแผลงฤทธิ์ (หลวงเพชรกำแหง) เรือมังกรจำแลง (หลวงรามเดช)
- เจ้ากรมอาสาหกเหล่าเป็นนายลำ มีธงหน้าเรือ มีคนกระทุ้งเส้า ฝีพายลำละ ๓๐ คน
- เรืออสุรปักษี (หลวงจงพยุห) เรืออสุรวายุภักษ์ (หลวงศรสำแดงฤทธิ)
- ปลัดเขนทองเป็นนายลำ ฝีพายลำละ ๔๐ คน
- เรือครุฑเตร็จไตรจักร (หลวงจัตุรงควิชัย) เรือครุฑเหินระเห็จ (หลวงไชยเดชะ)
- ปลัดกรมเป็นนายลำ ฝีพายลำละ ๔๐ คน
- เรือเหราข้ามสมุทร เรือสุวรรณเหรา
- เจ้าพนักงานเป็นนายลำ มีนักสราชถือธงหักทองขวางหน้าเรือ และท้ายเรือตั้งกลองชนะทำด้วยเงิน ลำละ ๕ คน ฝีพายลำละ ๔๘ คน
- เรือกลองนำหว่างกลาง พระยาพิชัยรณฤทธิเป็นนายลำ ฝีพายลำละ ๒๕ คน
- เรือศรีสุพรรณหงส์ เรือมงคลสุบรรณ
- เจ้าพนักงานเป็นนายลำ นักสราชถือธงหักทองขวางหน้าเรือ ท้ายเรือมีกลองชนะทำด้วยเงิน ลำละ ๕ คน ฝีพายลำละ ๖๕ คน
- เรือกิ่งไกรแก้วจักรรัตน์ เรือกิ่งศรีสมรรถชัย
- ตั้งมณฑปประดิษฐานพระเจดีย์เงิน และตั้งพระสุพรรณบัฏ มีเจ้าพนักงานเป็นนายลำ มีนักสราชถือธงหน้าธงท้าย มีสังข์ แตรงอน แตรฝรั่ง ลำละ ๑๗ คน ฝีพายลำละ ๖๕ คน
- เรือกิ่งศรีสุนทรชัย (หมื่นภักดีศวร) เรือกิ่งไกรสรจักร (หมื่นสิทธิโสรม)
- ตำรวจในเป็นนายลำ มีนักสราชถือธงหน้าธงท้าย มีคชาธารปักฉัตร ๗ ชั้น ฝีพายลำละ ๕๖ คน
- เรือกระโห้อาสาจามซ้าย (หลวงสุรินทรภักดี) เรือกระโห้อาสาจามขวา
(หลวงลักษมณา) - เจ้ากรมอาสาจามเป็นนายลำ ฝีพายลำละ ๓๕ คน
- เรือกระโห้อาสาจามซ้าย (ขุนวิชิตสงคราม) เรือกระโห้อาสาจามขวา (หลวงศรเสนี)
- ฝีพายลำละ ๓๕ คน
- เรือดั้งซ้าย เรือกันขวา
- เรือดั้งกองกลางซ้าย เรือดั้งกองกลางขวา
- เรือดั้งตำรวจสนมซ้าย เรือดั้งตำรวจสนมขวา
- เรือดั้งตำรวจนอกซ้าย เรือดั้งตำรวจนอกขวา
- เรือดั้งตำรวจใหญ่ซ้าย เรือดั้งตำรวจใหญ่ขวา
- เรือดั้งตำรวจซ้าย เรือดั้งตำรวจขวา
- เรือดั้งล้อมวังซ้าย เรือดั้งล้อมวังขวา
- เรือดั้งเกณฑ์หัดซ้าย เรือดั้งเกณฑ์หัดขวา
- เรือดั้งอาสาวิเศษซ้าย เรือดั้งอาสาวิเศษขวา
- เรือดั้งนำหน้าฉานซ้าย เรือดั้งนำหน้าฉานขวา
- เรือดั้งผลาญสมุทรซ้าย เรือดั้งผลาญสมุทรขวา
- เรือดั้งทองขวานฟ้า๑ เรือดั้งบ้าบิ่น
- เรือดั้งทั้ง ๒๒ ลำนี้ มีนายกำกับลำ ถือปืนคาบศิลา ลำละ ๔ คน มีคนกระทุ้งเส้าลำละ ๒ คน ฝีพายลำละ ๔๕ คน
- เรือกัญญาสารวัตร ไปกลางแถวหนึ่งลำ จมื่นสมุหพิมาน เป็นนายลำ ฝีพาย ๒๕ คน
- เรือเอกชัยเหินหาว เรือเอกชัยหลาวทอง
- เจ้าพนักงานกำกับลำ นักสราชถือธงหักทองขวางหน้าเรือ ท้ายเรือ มีกลองมโหระทึกประโคมลำละ ๕ คน
- ฝีพายลำละ ๔๕ คน
- เรือกลองนำเสด็จ พระยาพิชัยสงครามเป็นนายลำ ฝีพาย ๒๕ คน
- เรือพระที่นั่งกิ่งศรีประภัศรชัย เรือพระที่นั่งลำทรง
- เรือพระที่นั่งกิ่งไกรสรมุข เรือพระที่นั่งรอง
- ทั้งสองลำมีพระที่นั่งเป็นมณฑปยอดซึ่งประดับพลอยสีต่างๆ มีเศวตฉัตรขาวลายทอง ๗ ชั้นปักเคียงพระมณฑปซ้ายขวาและตั้งเครื่องสูง อภิรุม ชุมสาย รายไปตามเรือ ฝีพาย ๑๐๐ คน
- เรือกราบกัญญา มีผ้าหน้าโขนปักทองขวางเรียง ๔ แถว แถวละ ๖ ลำ รวม ๒๔ ลำ มีจางวาง เจ้ากรม ปลัดกรม ตำรวจหน้า ตำรวจหลัง ทหารในรักษาพระองค์ กรมวังแสนต้น มหาดเล็กเป็นนายลำตามเสด็จ
- เรือตาร้ายเกณฑ์หัดแสงปืนใหญ่ ประทุนแดง ๔ ลำ มีนายลำ คือ
- พระอัคเนศร พระศรสำแดง
- จมื่นก่งศิลป จมื่นก่งศร
- เรือทั้งสี่ลำบรรทุกปืน เครื่องอาวุธ ฝีพายลำละ ๒๕ คน
- เรือพระประเทียบ ๖ ลำ ของกรมฝ่ายในตามเสด็จเป็นเรือศรีประกอบเขียนลายทอง มีม่านทองลายก้านแย่ง ได้แก่
- เรือสวัสดิชิงชัย เรือวิไลเลขา
- เรือรังษีทิพยรัตน์ เรือจักรพรรดิภิรมย์
- เรือทินกรส่องศรี เรือมณีจักรพรรดิ
- เรือแซ ๔ ลำ มีธง มีทวนปักท้าย พลกรรเชียงแต่งแบบรามัญ ลำละ ๓๕ คน
- เรือแซหมูชลจร (พระยาเกียรติ) เรือแซสุกรกำเลาะ (พระยาราม)
- เรือแซวิภัชนชล (พระยาปราบปัจจามิตร) เรือแซอนนตสมุทร (พระยาแผลงศัตรู)
- เรือประตูหลัง เป็นเรือกราบมีกัญญา ๒ ลำ ฝีพายลำละ ๒๕ คน (พระนรินทรเสนี) (พระราชเสนา-แทนพระศรีสหเทพ)
- เรือพระบรมวงศานุวงศ์ เป็นเรือกัญญาผูกผ้าหน้าโขนหักทองขวาง ผูกพู่ ผูกดาว ตามเสด็จ ๒๓ ลำ ฝีพายลำละ ๕๐ คน มีเรือของพระเจ้าน้องยาเธอ พระเจ้าลูกเธอ พระเจ้าหลานเธอ และพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ
- เรือสุครีพครองเมือง ของพระยาศรีพิพัฒนรัตนราชโกษา (โปรดให้เรียกว่าเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ) เสนาบดีผู้ใหญ่เป็นนายลำ มีธงหักทองขวาปักด้านหน้าเรือ ท้ายเรือมีทนายหมอบหน้าฝีพาย ๖๐ คน
- เรือกราบกัญญา ของหมู่มุขมาตยาผู้ใหญ่ ผู้น้อย ที่มิได้เข้าร่วมกระบวนเป็นนายลำประดับผ้าหน้าโขนตาดเข้มขาบผูกดาว รวม ๓๖ ลำ มีฝีพายลำละ ๔๐ คนบ้าง ๓๐ คนบ้าง
- เรือเก๋งพั้ง ของขุนนางจีนเจ้าภาษี ๒๐ ลำ ตามเสด็จ
- เรือสำปั้น ของขุนนางน้อยๆ ที่ มิได้เข้ากระบวนแห่ตามเสด็จ มีขนาดต่างๆ ตั้งแต่ ๖-๘ วา มีฝีพายลำละ ๑๔, ๑๕, ๒๐ คน
- กล่าวว่าในขบวนทั้งสิ้นมีพลพายกว่าหมื่นคน มีเรือในกระบวน ๒๖๙ ลำ เรือนอกกระบวนกว่า ๕๐ ลำ โดยเรือพระที่นั่งเทียบท่าคอยรับเสด็จที่พระตำหนักท่าราชวรดิฐ
๑ เดิมมีชื่อว่า ทองแขวนฟ้า
การแต่งกายในกระบวนพยุหยาตราชลมารค
เรือแง่ทราย | |
นายลำ | นุ่งปูมสวมเสื้อเข้มขาบ โพกขลิบทอง |
พลแจว | สวมเสื้อแดง กางเกงขาว หมวกฝาชี |
เรือกัญญา | |
นายลำ | นุ่งปูมสวมเสื้อเข้มขาบ โพกขลิบทอง |
ฝีพาย | สวมเสื้อแดง หมวกแดง |
เรือเหรา | |
นายลำ | นุ่งปูมสวมเสื้อเข้มขาบ โพกขลิบทอง |
ฝีพาย | สวมเสื้อแดง |
เรือแซ | |
นายลำ | แต่งตัวโพกผ้าเป็นรามัญ |
คนตีกรรเชียง | แต่งตัวโพกผ้าเป็นรามัญ สวมเสื้อสีคราม |
เรือพาลี | |
นายลำ | สวมมาลา สามเสื้อตามอย่างน้อย |
ทนาย | สวมเสื้ออัตลัต โพกแพรสี |
ฝีพาย | สวมกางเกงมัสรู่ |
เรือกัญญา | |
นายลำ | นุ่งปูมสวมเสื้อทรงประพาส หมวกตุ้มปี่ |
เรือรูปสัตว์ต่างๆ เช่น เรือกระบี่ เรือเสือ เรือโต เรือสาง เรือเหรา เรือกิเลน เรือมังกร เรืออสูร เรือครุฑ เรือหงส์ เป็นต้น | |
นายลำและ | นุ่งปูมสวมเสื้อเข้มขาบ โพกขลิบทอง |
เรือกลอง | |
นายลำ | นุ่งปูมสวมเสื้อทรงประพาส สวมหมวกตุ้มปี่ |
เรือกิ่ง | |
นายลำ | นุ่งปูมสวมเสื้อเข้มขาบ โพกขลิบทอง |
ฝีพาย | สวมเสื้อ สวมหมวก สวมกางเกงสักหลาดขลิบโหมด |
เรือดั้ง | |
นายลำ | นุ่งปูมสวมเสื้อเข้มขาบ โพกขลิบทอง |
เรือชัย | |
นายลำ | นุ่งปูมสวมเสื้อเข้มขาบ โพกขลิบทอง |
เรือใน | |
ฝีพาย | สวมเสื้อแดง หมวกแดง กางเกงแดง |
เรือกราบ | |
นายลำ | นุ่งปูมสวมเสื้อทรงประพาส สวมหมวกตุ้มปี่ |
ฝีพาย | สวมเสื้อเข้มขาบ โพกขลิบทอง |
เรือตาร้าย | |
นายลำ | นุ่งปูมสวมเสื้อเข้มขาบ โพกขลิบทอง |
ฝีพาย | สวมเสื้อแดง หมวกแดง กางเกงแดง |
เรือศรี | |
ฝีพาย | สวมเสื้อแดง หมวกแดง กางเกงแดง |
เรือแซ | |
นายลำ | นุ่งปูมสวมเสื้อทรงประพาส สวมหมวกตุ้มปี่ |
พลกรรเชียง | โพกศีรษะ สวมเสื้อแบบรามัญ |
เรือกราบกัญญา | |
นายลำ | นุ่งปูมสวมเสื้อเข้มขาบ โพกขลิบทอง |
เรือพระบรมวงศานุวงศ์ | |
แต่งพระองค์ทรงเครื่องฉลองพระองค์จีบเอว | |
เรือสุครีพครองเมือง | |
นายลำ | สวมมาลา เสื้อตาดอย่างน้อย |
ทนาย | สวมเสื้ออัตลัด โพกแพรสี |
ฝีพาย | สวมกางเกงมัสรู่ |
เรือมุขมาตยาผู้ใหญ่ผู้น้อย | |
นายลำ | แต่งตัวนุ่งปูมสวมเสื้อทรงประพาส หมวกตุ้มปี่ |
ฝีพาย | สวมกางเกงต่างๆ |
เรือเก๋งพั้ง | |
ขุนนางจีน | แต่งตัวอย่างขุนนางเมืองจีน |
ฝีพาย | สวมกางเกง เสื้อกั๊ก หมวกจีโบ |
พระราชพิธีอื่นที่เกี่ยวเนื่อง
ในสมัยรัชกาลที่ ๔ นอกจากประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกและเสด็จเลียบพระนครทั้งกระบวนพยุหยาตราสถลมารคและกระบวนพยุหยาตราชลมารค ตั้งกรมเจ้านาย ตั้งพระราชาคณะแล้ว ยังทรงประกอบการพระราชพิธีอุปราชาภิเษกด้วย ซึ่งแต่เดิมมาธรรมเนียมในอุปราชาภิเษกตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลนั้น จะมีการประกอบพระราชพิธีที่น้อยกว่าพระราชพิธีบรมราชาภิเษกหลายอย่าง เช่น ไม่มีการสรงพระกระยาสนานมูรธาภิเษกและการเสด็จเลียบพระนคร แต่ในสมัยรัชกาลที่ ๔ นี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่า สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑามณี ทรงมีพระปรีชาสามารถรอบรู้ในการพระนครและการต่างประเทศ ตลอดจนขนบธรรมเนียมต่างๆ พระบรมวงศานุวงศ์และเสนาบดีนิยมนับถือมาก จึงโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีอุปราชาภิเษก และพระราชทานให้มีพระยศยิ่งใหญ่กว่าแต่ก่อน โดยมีพระสุพรรณบัฏจารึกพระนามคล้ายพระนามพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงมีพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระราชพิธีบวรราชาภิเษกก็คล้ายกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก คือมีการประกอบพิธีสรงพระกระยาสนาน แต่มิได้ยกพระที่นั่งตั่งอัฐทิศกับพระที่นั่งภัทรบิฐ
สถานที่ประกอบการพระราชพิธีนั้นมีขึ้นในพระบวรราชวัง โดยประกอบพิธีสงฆ์ที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ และมีการสวดพระพุทธมนต์ในพระที่นั่งอิศราวินิจฉัยบ้าง ในพระที่นั่งพิมาน ฝ่ายในบ้าง และกรมพระราชวังบวรฯ ทรงฟังพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ ๓ วัน
ในวันประกอบพิธีสรงพระกระยาสนาน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปพระราชทานน้ำพระเต้าเบญจครรภ พระบรมวงศานุวงศ์ผู้ใหญ่ฝ่ายบรรพชิต คฤหัสถ์ ถวายน้ำพระเต้าปทุมนิมิตรต่างๆ เหมือนอย่างการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พราหมณ์ถวายน้ำพระมหาสังข์ ทักขิณาวัฏ อุตราวัฏ น้ำกลศ ชาวประโคมประโคมดนตรี กรมพระราชวังบวรฯ เสด็จมารับพระสุพรรณบัฏในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ จากพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งเสด็จมาเป็นองค์ประธานในพิธี นอกจากนั้นก็ได้พระราชทานพระแสงหอก พระแสงง้าว พระแสงดาบ พระแสงดาบคาบค่าย พระแสงกระบี่ พระแสงเขน พระแสงธนู พระแสงธารพระกร
เสร็จแล้วกรมพระราชวังบวรฯ เสด็จปฏิบัติพระสงฆ์และถวายไทยธรรม พระสงฆ์ถวายพระพรลาแล้วทรงโปรยเงินพระราชทาน พระบรมวงศานุวงศ์ เมื่อเสร็จการพระราชพิธีบวรราชาภิเษกแล้วพระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดี และข้าทูลละอองธุลีพระบาทเข้าถวายตัว
จากนั้นต่อมา พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเลียบพระนคร ซึ่งแต่เดิมมาไม่มีปรากฏในธรรมเนียมโดยจัดกระบวนพยุหยาตราสถลมารคเช่นเดียวกับครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเลียบพระนคร ผิดกันตรงที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงช้างพระที่นั่ง ทรงม้าพระที่นั่ง๑ แทนการประทับพระราชยาน นับว่าการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในสมัยรัชกาลที่ ๔ นี้ ทรงประกอบการอย่างสมบูรณ์และมโหฬารยิ่งกว่าครั้งใดๆ และยังมีการพระราชพิธีเพิ่มเติมอีกหลายสิ่งซึ่งแต่เดิมมาไม่เคยปฏิบัติ อาทิ พระราชพิธีบวรราชาภิเษกนี้เป็นต้น จึงทำให้กล่าวได้ว่าในสมัยรัชกาลที่ ๔ นี้ ราชอาณาจักรไทยมีพระเจ้าแผ่นดินพร้อมกัน ๒ พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
อย่างไรก็ดี ในสมัยรัชกาลที่ ๔ นี้ พระองค์ไม่โปรดให้ประกอบพระราชพิธีสำหรับพระนครให้ต่างกันเป็นพิธีสงฆ์บ้างพิธีพราหมณ์บ้าง พระราชพิธีที่เคยทำเป็นพิธีพราหมณ์ล้วนมาแต่ก่อนทรงเพิ่มพิธีสงฆ์เข้าด้วยเกือบทุกพิธี แม้แต่ระเบียบการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกก็ทรงแก้ไข คือ โปรดฯ ให้ย้ายที่พระสงฆ์ราชาคณะหมู่ใหญ่สวดมนต์จากพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานองค์ตะวันตกมาสวดที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณด้วย เพราะเป็นที่ตั้งพระแท่นมณฑลและเป็นที่ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และก่อนจะสวดมนต์ได้ให้พระราชาคณะผู้จะขัดตำนาน ประกาศเทวดาโดยพิศดารด้วย แต่คงสวดสตปริตร และทรงเปลี่ยนพระสงฆ์ที่สวดภาณวารในที่บรรทม ๕ รูป นั้นให้เป็นพระสงฆ์ในนิกายธรรมยุตติกา๒
๑ พระราชพงศาวดาร, กรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๔, อ้างแล้ว, หน้า ๔๓-๔๕
๒ พระราชพงศาวดาร, กรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๕, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ศึกษาภัณฑ์พานิชย์, ๒๕๐๔ หน้า ๑๓๑