

บทนำ
การพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ นี้ การดำเนินการพระราชพิธีนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีเป็นผู้อำนวยการพระราชพิธี การประกอบพระราชพิธีในรัชกาลนี้มีทั้งที่คล้ายกับที่ประกอบขึ้นในรัชกาลที่ ๑ และที่มีเปลี่ยนแปลงแก้ไขและเพิ่มเติมบ้างดังจะได้อธิบายเป็นประเด็นไป แต่การประกอบพระราชพิธีทำ ๓ วันก่อนวันพระฤกษ์เช่นเดียวกัน๑
- พระราชพิธีจารึกพระสุพรรณบัฏ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งมีพระปรมาภิไธยเหมือนกับพระนามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏครั้งรัชกาลที่ ๑ เมื่อจารึกพระสุพรรณบัฏเสร็จแล้ว พระมหาราชครูพราหมณ์เจิมและรัดแผ่นพระสุพรรณบัฏด้วยไหมเบญจพรรณวางไว้ในหีบทอง ใส่ไว้ในถุงผ้าเยียรบับผูกประทับตราประจำครั่ง ตั้งบนพานแว่นฟ้าทองสองชั้น คลุมด้วยผ้าปักหักทองขวาง ตั้งไว้ในพระอุโบสถ พราหมณ์เบิกแว่นเทียนสมโภช แล้วเชิญขึ้นพระราชยานกั้นพระกลดตำรวจแห่เข้าไปตั้งในพระแท่นมณฑล
- การจัดสถานที่ประกอบพระราชพิธี๒ ทำการตกแต่งเช่นเดียวกับครั้งรัชกาลที่ ๑ คือตั้งราชวัติ ฉัตรเบญจรงค์รอบพระที่นั่งทั้งหมู่ ปลูกมณฑปพระกระยาสนานที่ลานด้านตะวันออก ระหว่างพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานกับพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ตั้งเครื่องต่างๆ เช่นเดียวกัน เช่น ตั้งตั่งไม้มะเดื่อสำหรับสรงมูรธาภิเษก ตรงที่วางพระบาทลาดใบไม้ข่มนาม ตั่งไม้มะเดื่อนี้ตั้งวางในถาดทองซึ่งตั้งอยู่บนเตียงเหลี่ยมหุ้มผ้าขาวในพระมณฑปอีกทีหนึ่ง รอบพระมณฑปตั้งราชวัติ ฉัตรทอง ฉัตรเงิน ฉัตรนาก
- บนพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ซึ่งเป็นที่ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตั้งพระแท่นมณฑล ตั้งพระชัย พระสุพรรณบัฏ ดวงพระชันษา พระอุณาโลมทำแท่ง๓ เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ เครื่องราชูปโภค ตลอดจนมหาสังข์ พระเต้าต่างๆ๔ และพระแสงอัษฎาวุธ เช่นเดียวกับรายการครั้งรัชกาลที่ ๑๕ ส่วนที่เพิ่มขึ้น คือ พระชฎาเพชร พระมาลาเบี่ยง เครื่องพระมูรธาภิเษก พระแสงดาบคาบค่าย พระแสงดาบใจเพชร พระแสงขอคร่ำ พระกลดพานพระขันหมาก พระเต้าสุธารสและพระสุพรรณศรีบัวแฉก ส่วนทางด้านทิศตะวันตกตั้งพระที่นั่งภัทรบิฐ
- การเฉลิมพระราชมณเฑียร สมัยรัชกาลที่ ๒ จัดพระราชพิธีที่บนพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ด้านตะวันตกตั้งพระแท่นทองมีเพดานสำหรับตั้งพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปทองคำปางห้ามสมุทร ด้านหน้าพระแท่นตั้งเครื่องนมัสการ บาตรน้ำ ๕ บาตร บาตรทราย ๕ บาตร นอกจากนี้ตั้งอาสนะพระสงฆ์ ๓๙ รูป มีพระสังฆราชเป็นประธานสวดพระพุทธมนต์ ทอดพระราชอาสน์ที่ประทับทรงศีล ส่วนในห้องพระบรรทมจัดที่พระสงฆ์สมถะ ๕ รูป สวดภาณวารบนพระแท่นบรรทมเช่นครั้งรัชกาลที่ ๑ และทอดพระราชอาสน์ที่ประทับทรงสดับพระปริตร
- ตั้งพนมบัตรพลี สำหรับโหรบูชาเทวดาและปลูกโรงพิธีพราหมณ์ที่ด้านหน้าพระที่นั่งดุสิตาภิรมย์
- ที่โรงพิธีพราหมณ์อัญเชิญเทวรูปออกตั้งทั้ง ๗ องค์ เช่นเดียวกับครั้งรัชกาลที่ ๑ ซึ่งในสมัยรัชกาลที่ ๒ เรียกว่า “พระพรหมสัทธาสิทธิ” นอกจากนี้ได้ตั้งเครื่องพลีกรรม
- ตั้งศาลาโรงทานนอกพระบรมมหาราชวัง และมีการไถ่สัตว์ที่จะถูกฆ่าออกมาปล่อย มีการประกาศห้ามขายสุรา
๑ พระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๒ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ หอพระสมุดวชิรญาณ, ๒๔๕๙ หน้า ๒๑-๓๕
๒ สถานที่ประกอบพระราชพิธีในสมัยรัชกาลที่ ๒ ต่างจากครั้งรัชกาลที่ ๑ ที่ทรงใช้บริเวณพระที่นั่งอมนิทราภิเษก แต่ในรัชกาลที่ ๒ พระองค์ใช้พระที่นั่งเป็นที่ประทับ ดังนั้นจึงทรงใช้พระที่นั่งไพศาลทักษิณ และพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานเป็นที่ประกอบพระราชพิธี
๓ คือแท่งครั้งพระราชลัญจกรมหาอุณาโลม
๔ ครั้งรัชกาลที่ ๒ เรียกว่าพระเต้าปทุมนิมิต หมายถึง พระเต้าที่ตกแต่งเป็นลายกลีบบัวทั้งองค์ดุจดอกบัวที่ซ้อนกันสามดอก
๕ ครั้งรัชกาลที่ ๑ ทรงตั้งพระธาตุ พระพุทธรูปปางห้ามสมุทรด้วย


การประกอบพระราชพิธีในวันเตรียมการ
วันแรกข้าราชการและพระบรมวงศานุวงศ์มาพร้อมกันอยู่ตามตำแหน่ง เวลาบ่ายนิมนต์พระสงฆ์เถรานุเถระทั้งฝ่ายความวาสีและอรัญวาสี ๓๘ รูป เข้าไปสวดพระพุทธมนต์ที่พระที่นั่งจักรพรรดิพิมานหลังตะวันตก มีสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นประธาน และนิมนต์พระสงฆ์ฝ่ายสมถะ ๕ รูป ไปสวดที่ห้องพระบรรทม เวลาพระเข้ามาชาวประโคมจะประโคมสังข์ แตร พิณพาทย์ มโหรีพร้อมกัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จจากพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยที่ประทับขึ้นพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการ สมเด็จพระสังฆราชทรงจุดเทียนชัย จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการที่พระที่นั่งหลังตะวันตก สมเด็จพระสังฆราชทรงรับถวายศีล จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปประทับ ทรงสดับพระจตุภาณปริตรที่ห้องบรรทม พระสงฆ์หมู่ใหญ่สวดพระปริตรเจ็ดตำนาน แต่พระสงฆ์ฝ่ายสมถะที่สวดที่ห้องพระบรรทมสวดจตุภาณวารแบ่งออกเป็น ๓ ตอน ตอนละวัน ครั้นสวดพระปริตรจบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาประทับที่
พระที่นั่งหลังตะวันตก สมเด็จพระสังฆราชถวายอดิเรกแล้วพระสงฆ์ถวายพระพรลา ชาวประโคมประโคมแตรสังข์ดนตรีพร้อมกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับที่ประทับ เจ้าพนักงานฝ่ายหน้ากลับ ให้พนักงานฝ่ายในซึ่งเป็นผู้หญิงเฝ้ารักษาที่พระมณฑลซึ่งอยู่ฝ่ายในทุกแห่ง
วันรุ่งขึ้นตอนเช้า พระสงฆ์ ๔๓ รูป ที่นิมนต์ไว้ไปพร้อมกันที่พระที่นั่งจักรพรรดิพิมานหลังตะวันตก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จทรงจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย สมเด็จพระสังฆราชถวายศีล พระสงฆ์ถวายพระพรแล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอุทิศสังฆทาน และทรงหลั่งน้ำทักษิโณทก พระสงฆ์อนุโมทนาแล้วทรงประเคนภัตตาหาร สมเด็จพระสังฆราช ข้าราชการประเคนพระสงฆ์อื่น ครั้งพระสงฆ์ทำภัตกิจแล้ว ถวายอดิเรกและถวายพระพรลาแล้วจึงเสด็จ
พระราชดำเนินกลับที่ประทับที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย
การประกอบการเช่นนี้ทุกวันเป็นเวลา ๓ วัน

๓ วัน นุ่งผ้าห่มสมปักลาย คาดเสื้อครุย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระภูษาเขียนทองพื้นขาว ทรงสายรัดพระองค์เพชร ฉลองพระองค์กรองทองทั้งในตอนบ่ายและตอนเช้า
การแต่งกายในงานเตรียมการ
ข้าราชการในงานเตรียมการพระราชพิธี ๓ วัน นุ่งผ้าห่มสมปักลาย คาดเสื้อครุย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระภูษาเขียนทองพื้นขาว ทรงสายรัดพระองค์เพชร ฉลองพระองค์กรองทองทั้งในตอนบ่ายและตอนเช้า

บรมราชาภิเษก ในวันพระฤกษ์บรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระภูษาเขียนทองพื้นขาวอย่างวันก่อนเสด็จไปทรงศีล ครั้งได้ฤกษ์มีพิธีการดังเช่นที่เคยทำเมื่อคราวประกอบพระราชพิธีครั้งรัชกาลที่ ๑ คือ หลวงโลกทีปลั่นฆ้องชัย ชาวประโคมประโคมแตรสังข์ดนตรีพร้อมกัน เจ้าพนักงานภูษามาลาเชิญเครื่องถอดถวายทรง แล้วพราหมณ์เชิญพระชัยและพระมหาราชครูโปรยข้าวตอกนำเสด็จตามทางลาดพระบาทสู่พระมณฑปพระกระยาสนาน เสด็จขึ้นประทับเหนือตั่งไม้มะเดื่อผันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก (บูรพา)

การประกอบพระราชพิธีในวันพระฤกษ์บรมราชาภิเษก
ในวันพระฤกษ์บรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระภูษาเขียนทองพื้นขาวอย่างวันก่อนเสด็จไปทรงศีล ครั้งได้ฤกษ์มีพิธีการดังเช่นที่เคยทำเมื่อคราวประกอบพระราชพิธีครั้งรัชกาลที่ ๑ คือ หลวงโลกทีปลั่นฆ้องชัย ชาวประโคมประโคมแตรสังข์ดนตรีพร้อมกัน เจ้าพนักงานภูษามาลาเชิญเครื่องถอดถวายทรง แล้วพราหมณ์เชิญพระชัยและพระมหาราชครูโปรยข้าวตอกนำเสด็จตามทางลาดพระบาทสู่พระมณฑปพระกระยาสนาน เสด็จขึ้นประทับเหนือตั่งไม้มะเดื่อผันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก (บูรพา) ๑ จากนั้น
- เจ้าพนักงานไขท่อสหัสธารามูรธาภิเษก
- สมเด็จพระสังฆราช (สุก) วัดมหาธาตุ ถวายน้ำมนต์
- พระธรรมราชา วัดศาลาปูน (อยุธยา) ถวายพระเต้าปทุมนิมิตร
- พระญาณสังวร (สุก) วัดพลับ ทั้ง ๓ รูป
- พราหมณ์ถวายน้ำสังข์น้ำกลศ และใบมะตูมประสิทธิ์ด้วยมนต์ไสยเวท เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสรงมูรธาภิเษกแล้วทรงเครื่องต้น๒ เสด็จขึ้นพระที่นั่งไพศาลทักษิณประทับพระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ พราหมณ์ประจำทิศทั้งแปดถวายชัยและถวายน้ำสังข์ตั้งแต่ทิศตะวันออกเป็นต้นไป โดยเวียนประทักษิณไปจนครบทั้งแปดทิศ แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปประทับพระที่นั่งภัทรบิฐ
พระมหาราชครูพราหมณ์กราบบังคมทูลถวายราชสมบัติและพระสังวาลพราหมณ์ แล้วถวายพระสุพรรณบัฏ เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ ทรงรับด้วยพระหัตถ์
มหาดเล็กถวายพระแสงอัษฎาวุธ โปรดให้เจ้าพนักงานรับ เสร็จแล้วพระมหาราชครูพราหมณ์อ่านเวทถวายพระพร จบแล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการแก่พระมหาราชครู พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้สมณชีพราหมณ์และประชาราษฎร์ หาสิ่งของในแผ่นดินบริโภคได้หากไม่มีเจ้าของดังความเช่นรัชกาลก่อนว่า “พรรณพฤกษ์ ชลธีแลสิ่งของในแผ่นดินทั่วทั้งพระราชอาณาจักรนั้น ถ้าไม่มีเจ้าของหวงแหนแล้ว ตามแต่สมณพราหมณาจารย์ อาณาประชาราษฎรจะปรารถนาเถิด” พระมหาราชครูรับพระบรมราชโองการเป็นฤกษ์ แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรยดอกพิกุลทอง ดอกพิกุลเงิน และทรงหลั่งน้ำทักษิโณทก
พราหมณ์ถวายบังคมแล้วเป่าสังข์ เจ้าพนักงานประโคมดนตรีพร้อมกัน จึงเสด็จขึ้นพระมหามณเฑียรซึ่งสงฆ์ได้ทำภัตกิจ (ฉันภัตตาหาร) แล้วคอยถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนมัสการพระรัตนตรัย ทรงประเคนไตรจีวรและเครื่องบริขารแก่พระสงฆ์ พระสงฆ์ถวายพระพร ถวายอดิเรก และถวายพระพรลา
จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกท้องพระโรงพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ประทับพระแท่นภายใต้พระมหาเศวตฉัตรให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนเข้าเฝ้า เพื่อกราบบังคมทูลถวายสิ่งต่างๆ อันมีค่าควรแก่พระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเช่นเดียวกันกับครั้งรัชกาลที่ ๑
เจ้าพระยามหาเสนา๓ (ปิ่น) ที่สมุหพระกลาโหม กราบบังคมทูลถวายพระมหาพิชัยราชรถ เรือพระที่นั่ง เรือกระบวนทั้งปวง เครื่องสรรพศาสตราวุธ พลทหาร และหัวเมืองเอก โท ตรี จัตวา ซึ่งอยู่ในบังคับกลาโหม
พระยามหาอำมาตย์๔ แทนสมุหนายก กราบบังคมทูล ถวายพระยาช้างต้น พระยาม้าต้น พลเรือน และหัวเมืองเอก โท ตรี จัตวา ซึ่งอยู่ในบังคับมหาดไทย
พระยาโกษาธิบดี (กุน) กราบบังคมทูลถวายราชพัทยากรและราชสมบัติทั้ง ๑๒ ท้องพระคลังและหัวเมืองซึ่งอยู่ในบังคับกรมท่า
พระยายมราช (บุญมา) กราบบังคมทูลถวายกรุงเทพมหานคร
เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (สด) กราบบังคมทูลถวายพระมหาปราสาทราชมณเฑียร เศวตฉัตร เครื่องสูง และเครื่องประดับพระเกียรติยศทั้งปวง
พระยาประชาชีพ แทนเจ้าพระยาพลเทพ๕ กราบบังคมทูลถวายธัญญาหารแดนสถานอาณาเขต
จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการตรัสสั่งให้
มุขมนตรีผู้เป็นเจ้าหน้าที่ให้รักษาสรรพสิ่งทั้งปวงไว้ตามพนักงาน เพื่อจะได้ป้องกันพระราชอาณาเขต ทนุบำรุงพระบวรพุทธศาสนาให้สถาพรสืบไป อรรคมหาเสนาบดีรับพระบรมราชโองการ ข้าราชการถวายบังคมพร้อมกัน
แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นพระที่นั่งไพศาลทักษิณประทับเหนือพระที่นั่งภัทรบิฐ ข้าราชการฝ่ายในเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
ท้าววรจันทร์ กราบบังคมทูลถวายสิบสองพระกำนัล เมื่อได้เวลาพระฤกษ์เฉลิมพระราชมณเฑียร ชาวประโคมประโคมขึ้นพร้อมกัน แล้วเสด็จขึ้นสู่พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน มีนางเชื้อพระวงศ์ ๖ นาง อุ้มและอัญเชิญสิ่งต่างๆ ที่มีความหมายอันเป็นมงคล คือ วิฬาร์ (แมว) พานข้าวเปลือก พานถั่ว พานงา ผลฟักเขียว และศิลาบด ตามเสด็จ๖ มีนางชำระพระบาท เมื่อเสด็จขึ้นพระราชมณเฑียรที่ห้องพระบรรทม ทรงนมัสการพระรัตนตรัย อธิษฐานตามพระราชอัชฌาสัย ทรงเปลี่ยนเครื่องทรงแล้วเสด็จขึ้นพระแท่นบรรทม พระราชวงศ์ฝ่ายในถวายดอกหมากทองคำ ท้าววรจันทร์๗ ถวายกุญแจ ทรงรับวางข้างที่บรรทมแล้วเอนพระองค์ลงบรรทม โดยทักษิณปรัศว์ (ตะแคงขวา) เป็นฤกษ์ พระราชวงค์ฝ่ายในซึ่งเจริญพระชันษาถวายพระพรก่อนแล้วพระราชวงศ์ฝ่ายในทั้งปวงจึงถวายพระพรพร้อมกัน
จากนั้น (หลังจากเสวยพระกระยาหารแล้ว) เสด็จพระราชดำเนินโดยทางฝ่ายใน ทรงโปรยเงินพระราชทานผู้ที่มาคอยเฝ้าถวายพระพรตลอดทาง จนถึงพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ไปถวายบังคมพระบรมศพ ทรงอธิษฐานขอพระราชทานพระพรแล้วเสด็จกลับพระราชมณเฑียร
เวลาบ่าย เจ้าพนักงานตั้งบายศรีเวียนเทียนสมโภชพระราชมณเฑียร พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายในได้ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาแล้วถวายดอกไม้ธูปเทียน
๑ ครั้งรัชกาลที่ ๑ ไม่ปรากฏว่าผันพระพักตร์สู่ทิศใดตอนก่อนสรง แต่เมื่อสรงแล้วประทับบนพระที่นั่งอัฐทิศ ทรงผันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ
๒ เครื่องต้นครั้งกรุงศรีอยุธยารัชกาลพระเจ้าอุทุมพรมี ๑๑ สิ่ง คือ สนับเพลาเชิงงอน ๒ ชั้น พระภูษาริ้ววรวะยีจีบโจง โยคีรัดพระองค์หนามขนุน ฉลองพระองค์พระกรน้อย ฉลองพระองค์สีย่นนอก รัดพระองค์แครง พระแสงกั้นหยั่นพู่นิล พระธำมรงค์พลอยต่างกัน ๑ สำรับ พระชฎา พระเกี้ยว แหวนแดง ฉลองพระบาท และพระแสงดาบใจเพชร
๓ ในรัชกาลที่ ๑ สมุหพระกลาโหม คือ เจ้าพระยาอรรคมหาเสนา
๔ ในรัชกาลที่ ๒ ครั้งนั้นที่สมุหนายกว่าง
๕ ในรัชกาลที่ ๒ ตำแหน่งเจ้าพระยาพลเทพว่าง
๖ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ มีอัญเชิญเครื่องราชูปโภคและทรงโปรยดอกพิกุลทอง พิกุลเงินด้วย
๗ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ท้าวทรงกันดาลถวาย


การพระราชพิธีอื่นที่เกี่ยวข้อง
หลังจากที่เสร็จการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกและสมโภชพระมหามณเฑียรแล้ว ในสมัยรัชกาลที่ ๒ ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีอื่นที่เกี่ยวเนื่องเพื่อแสดงพระบารมี เช่น
- เสด็จเลียบพระนคร โดยกระบวนพยุหยาตราสถลมารค
- พระราชพิธีอุปราชาภิเษก
- ทรงตั้งพระราชาคณะ แสดงถึงทรงเป็นองค์ศาสนูปถัมภก
- ทรงสถาปนาพระเกียรติยศเลื่อนกรม และตั้งกรมพระบรมวงศานุวงศ์
- พระราชทานบรรดาศักดิ์แก่ข้าราชการ ซึ่งมีบำเหน็จความชอบ
- เร่งชำระความที่ค้างอยู่ในศาล โดยไม่เรียกเก็บค่าฤชาธรรมเนียมและพระราชทานเงินพินัย ไม่เรียกจากคู่ความ
- ปล่อยนักโทษ ซึ่งสมควรจะได้รับพระราชทานอภัยโทษ
- สักเลขขึ้นทะเบียนพล
- เดินสวนเดินนา
ซึ่ง ๒ การหลังนี้ เริ่มใช้ในรัชกาลที่ ๒ นี้
อนึ่ง การประเพณีที่กระทำสืบเนื่องจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ครั้งรัชกาลที่ ๒ ที่ควรศึกษา คือ การเสด็จเลียบพระนครโดยกระบวนพยุหยาตราสถลมารค และพระราชพิธีอุปราชาภิเษก


การเสด็จเลียบพระนครโดยกระบวนพยุหยาตราสถลมารค
เมื่อเสร็จการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้วแต่โบราณมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จออกให้ประชาชนได้ชื่นชมพระบารมีด้วย เดิมคงจะเสด็จเข้ากระบวนรอบพระราชมณเฑียรที่ประทับ เพื่อให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทได้ร่วมกันถวายพระพรและชื่นชมพระบารมีเท่านั้น ที่จะเสด็จเป็นกระบวนพยุหยาตราออกนอกพระนคร ก็คงจะเฉพาะในเทศกาลถวายผ้าพระกฐินหรือเสด็จนมัสการพระพุทธบาท ซึ่งจัดเป็นกระบวนใหญ่อย่างกระบวนทัพ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ครั้งรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๓ ได้เสด็จเลียบพระนครเฉพาะกระบวนพยุหยาตราสถลมารค (ทางบก) ส่วนการเลียบพระนครทางน้ำนั้นได้มาเริ่มขึ้นในครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔
รัชกาลที่ ๒ โปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่เสด็จเลียบพระนคร พระองค์เสด็จขึ้นเกยพระที่นั่งดุสิดาภิรมย์ ทรงพระราชยานโดยเสด็จออกประตูวิเศษไชยศรีเลี้ยวขวา หรือประทักษิณพระบรมมหาราชวัง เลี้ยวผ่านป้อมเผด็จดัสกร แล้วตรงไปถึงสะพานข้ามคลองตลาด แล้วเลี้ยวกลับขึ้นทางริมกำแพงพระนครมาทางท้ายสนมเข้าถนนหน้าวังที่ท่าพระ แล้วกลับเข้าพระบรมมหาราชวังทางประตูวิเศษไชยศรี โดยทรงโปรยเงินพระราชทานราษฎรซึ่งคอยถวายพระพรอยู่สองข้างทางตลอดระยะทาง
ในการนี้มีการปราบถนนโรยทราย รื้อร้านโรงที่กีดขวางริมทางให้เรียบร้อยทั้งสองฝากถนนก่อน แล้วเจ้าพนักงานจัดตั้งราชวัติ ฉัตรเบญจรงค์ ๗ ชั้น และร้านน้ำเป็นระยะ ในวันเสด็จเลียบพระนครนั้น พวกทหารอาสา ๖ เหล่า ซ้ายขวา ตั้งกองจุกช่องรายทาง ตั้งปืนคู่ขานกยางทุกแพรกถนน ในริ้วกระบวนแห่มีทหารเหล่าต่างๆ เข้ากระบวนตามลำดับ ซึ่งกล่าวว่ามีจำนวนถึง ๘,๐๐๐ คน อันมีรายละเอียดดังนี้
กระบวนหน้า
- ฝรั่งแม่นปืน ลากปืนจ่ารงรางเกวียน ๒ กระบอก
- กระบวนนายม้าต้น ขี่ม้าถือธง ๘ ม้า
- กองอาสาเกณฑ์หัด ถือปืนคาบศิลาปลายหอก ๑ กอง
- กองอาสาเกณฑ์หัด ถือธนู ๑ กอง
- กองอาสาเกณฑ์หัด ถือทวน ๑ กอง
- กองอาสาญี่ปุ่น ถือง้าว ๑ กอง
- พลอาสา ถือดาบสองมือ ๑ กอง
- พลล้อมวัง ถือดาบโล่ ๑ กอง
- พลล้อมวัง ถือดั้งทอง ๑ กอง
- พลล้อมวัง ถือดาบเขน ๑ กอง
- อาสาจาม ถือหอกซัด ๑ คู่ เหน็บกริช
- ขุนหมื่นกรมเหล่าคู่ชัก ถือหอกเดินเรียงเป็นสี่สาย
- กระบวนขุนหมื่นตำรวจ ๘ กรม สะพายดาบเดินสี่สาย
- เจ้าปลัดกรมพระตำรวจ เดินริ้วนอกสองสาย
- หุ้มแพรมหาดเล็ก เดินริ้วในสองสาย
- กลองชนะ ๑๐๐ คู่ เดินเป็นสองแถวข้างใน มีจ่าปี่ จ่ากลอง แตรฝรั่ง แตรงอน สังข์ (เดินในระหว่างกระบวนสี่สาย)
- ชาวเครื่อง เชิญเครื่องสูง ๕ ชั้น ๗ ชั้น ชุมสายบังแทรก โดยที่ตรงแถวกลางมีมหาดเล็กเชิญพระแสงดาบเขน พระแสงหอกชัย พระแสงดาบคาบค่าย พระแสงดาบใจเพชร และพระแสงหอกชวา เดินหว่างเครื่อง
- พระที่นั่งพุดตาน มีเจ้าพนักงานเชิญพระกลดตาดบังสูรย์ พัดโบก และพระทวย มีขุนนางตำแหน่งปลัดทูลฉลองเดินสองข้างพระราชยาน ๖ คู่ เป็นคู่เคียงนอกแถว คู่เคียงมีอินทรพรหมถือจามร
กระบวนหลัง
- เจ้ากรม ปลัดกรม กรมทหารในพลพัน ทนายเลือก และรักษาพระองค์ เดินเป็นสี่สาย
- เครื่องสูง มีมหาดเล็กเชิญ พระแสงง้าว พระแสงหอกง่าม (พระแสงตรี) เดินหว่างเครื่อง
- มหาดเล็กเชิญเครื่องตามเสด็จ มีพานพระขันหมาก พระเต้า พระสุพรรณศรี พระแสงปืน พระแสงทวน พระแสงง้าว พระแสงหอก
- พระยาม้าต้น ม้าเทศ ผูกเครื่องกุดั่น ๒ ม้า
- กระบวนอาสา มีเหล่าต่างๆ เช่น กระบวนหน้า แต่มีจำนวนครึ่งหนึ่งของกระบวนหน้าทุกหมู่
- ฝรั่งแม่นปืน ลากปืนจ่ารง รางเกวียน ๒ กระบอก
- กระบวนพระราชวงศ์ ทรงม้า กั้นพระกลดหักทองขวางเดินเป็นคู่ มีมหาดเล็กตาม
- กระบวนเสนาบดี นั่งแคร่ มีทนายความ เป็นสุดกระบวน


การแต่งกายในกระบวนพยุหยาตราสถลมารค
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดจน
ข้าทูลละอองธุลีพระบาท เสนาบดี ล้วนแต่งกายอย่างงดงามในการเข้ากระบวนพยุหยาตราสถลมารคเลียบพระนคร หลังจากที่ประกอบการพระราชพิธี
บรมราชาภิเษกแล้วนั้น และเป็นเครื่องแต่งกายที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะแสดงถึงการแบ่งเหล่าและลำดับตำแหน่งนั่นเอง
- องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์อย่างเทศ คือ ทรงเครื่องสนับเพลาเชิงงอน พระภูษาเขียนทอง ฉลองพระองค์ตาดจีบ คาดเจียระบาดสายรัดพระองค์เพชร เหน็บพระแสงกั้นหยั่น ทรงพระสังวาล พระธำมรงค์ พระมาลาเพชร และทรงพระแสงเวียด
- ฝรั่งแม่นปืน เสื้อขลิบกำมะหยี่แดง
- นายม้าต้น เสื้อสีสอดสนับเพลา โพกผ้าแดงขลิบทอง ขัดดาบ
- พลอาสา แต่งเครื่องเสนากุฎ คือ
๔.๑ ตัวนาย ใส่เสื้อโพกผ้า มีประคำคล้องคอสะพายดาบ
๔.๒ อาสาจาม ใส่เสื้อผ้าวิลาศ โพกผ้าตะบิด
- ขุนหมื่นหกเหล่าคู่ชัก ใส่เสื้อแดง ผ้าโพกศีรษะ
- เจ้ากรม ปลัดกรมพระตำรวจ และหุ้มแพรมหาดเล็ก สอดสนับเพลา นุ่งผ้าเกี้ยว คาดเจียระบาด ใส่เสื้อเทศสวมประคำโพกผ้า ขลิบครุย
- กลองชนะ ใส่เสื้อแดง กางเกงแดง หมวกแดง
- ชาวเครื่อง นุ่งริ้วคาดลายเสื้อเปลื้อง ศีรษะใส่ลำพอก
- ปลัดทูลฉลอง สอดสนับเพลา นุ่งผ้าเกี้ยว คาดเจียระบาด ใส่เสื้อริ้ว โพกขลิบกรองทอง
- อินทรพรหม นุ่งสนับเพลา สวมเสื้อเขียวและเสื้อแดง ศีรษะใส่เทริด
- พระบรมวงศานุวงศ์ ทรงสนับเพลาและผ้าเขียนทอง คาดเจียระบาด ฉลองพระองค์อย่างเทศ ทรงพระมาลา

อุปราชาภิเษก การจัดพระราชพิธีอุปราชาภิเษกในสมัยรัชกาลที่ ๒ เป็นการสถาปนาสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ พระบัณฑูรน้อยในรัชกาลที่ ๑ ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล

การจัดพระราชพิธีอุปราชาภิเษก
การจัดพระราชพิธีอุปราชาภิเษกในสมัยรัชกาลที่ ๒ เป็นการสถาปนาสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ พระบัณฑูรน้อยในรัชกาลที่ ๑ ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ตำแหน่งที่พระมหาอุปราช การพระราชพิธีจัดที่พระราชวังบวร มิได้จัดที่พระบรมมหาราชวังอย่างครั้งรัชกาลที่ ๑ โดยจัดตามแบบการจัดพระราชพิธีอุปราชาภิเษก
พระเจ้าบรมโกศในสมัยอยุธยา แต่อย่างไร
ก็ดี การเตรียมการต่างๆ ตลอดจนการจัดพระราชพิธีก็เป็นเหมือนครั้งรัชกาลที่ ๑ เพียงแต่เปลี่ยนสถานที่
- จารึกพระสุพรรณบัฏ เวียนเทียนสมโภชในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้วอัญเชิญแห่ไปตั้งที่มณฑลพิธีที่พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ (หรือพระที่นั่งพุทไธสวรรย์) ในพระราชวังบวร ตั้งเทียนชัย มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธานเจริญพระพุทธมนต์
- พระราชพิธี จัดอีกแห่งคือที่พระที่นั่งพรหมภักตร (พระที่นั่งพรหมเมศธาดา) ในหมู่พระวิมาน ที่ห้องพระบรรทมตั้งเตียงสำหรับพระสงฆ์ คือ สมเด็จพระพนรัตนนั่งปรก ๑ รูป พระสงฆ์วัดพลับ ๔ รูป สวดมหาชัย
- บนพระแท่นมณฑลที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ตั้งพระบรมธาตุ พระชัย พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร พระอุณาโลมทำแท่ง พระสุพรรณบัฏ ดวงพระชันษา และเครื่องราชูปโภค คล้ายกับที่ทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษก อาทิ
พระมหามงกุฎ พระภูษารัตกัมพล พระมาลาเบี่ยง พระชฎา พระนพ พระมหาสังวาลสร้อยอ่อน พระมหาสังวาลพราหมณ์ พระธำมรงค์ ฉลองพระองค์เกราะ ฉลองพระองค์นวม พระมหามงคลย่น เครื่องพระพิชัยสงคราม เครื่องพระมูรธาภิเษก พระมหาสังข์ทักขิณาวัฏ พระมหาสังข์ทอง พระมหาสังข์เงิน พระเต้าเบญจครรภ พระเต้าปทุมนิมิตรทอง พระเต้าปทุมนิมิตรนาก พระเต้าปทุมนิมิตรเงิน พระเต้าปทุมนิมิตรสำริด
นอกจากนี้ ตั้งพระแสงอัษฎาวุธที่พระแท่นมณฑลด้วย คือ พระแสงขรรค์ชัยศรี พระแสงดาบญี่ปุ่น (ของพระราชทานสำหรับพระเกียรติยศ กรมพระราชวังบวร) พระแสงจักร พระแสงหอกชัย พระแสงตรีศูล พระแสงธนู พระแสงเขนหอกคู่ พระแสงของ้าว ๒ องค์ พระแสงทวน ๒ องค์ พระแสงหอกคู่ พระแสงของ้าวเจ้าพระยาแสนพลพ่าย พระแสงขอตีช้างล้ม พระแสงชนดต้น พระกลด พระเสมาธิปัตย์ พระฉัตรชัย พระเกาวพ่าห์ ธงชัยกระบี่ธุช ธงชัยพระครุฑพ่าห์ - ปลูกโรงพิธีพราหมณ์ที่หน้าพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ (พุทไธสวรรย์) เพื่อตั้งเทวรูปและเครื่องพลีกรรมคล้ายพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
- ตั้งพนมบัตรพลี สำหรับโหรบูชาเทวดา
- วงสายสิญจน์ตลอดถึงกันทุกแห่ง
- ตั้งราชวัติ ปักฉัตรเบญจรงค์ ๕ ชั้น รายรอบพระราชมณเฑียรและสองฟากถนนตั้งแต่พระราชวังบวรฯ ถึงพระบรมมหาราชวัง
ระหว่างเตรียมการพิธี ได้เชิญเสด็จสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ มาประทับที่โรงละครริมพระระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดารามด้านตะวันตก (ถูกรื้อเป็นสนามหญ้าในสมัยรัชกาลที่ ๕)

อุปราชาภิเษก มีการเตรียมการพระราชพิธีเป็นเวลา ๓ วันก่อนถึงวันพระฤกษ์ โดยสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ เสด็จทรงเครื่องที่พระที่นั่งดุสิดาภิรมย์ เข้ากระบวนแห่จากพระบรมมหาราชวังไปยังพระราชวังบวร มีริ้วกระบวนแห่เป็นกระบวนหน้า กระบวนหลัง ตามที่เคยจัด

การเตรียมการพระราชพิธีอุปราชาภิเษก
มีการเตรียมการพระราชพิธีเป็นเวลา ๓ วันก่อนถึงวันพระฤกษ์ โดยสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ เสด็จทรงเครื่องที่พระที่นั่งดุสิดาภิรมย์ เข้ากระบวนแห่จากพระบรมมหาราชวังไปยังพระราชวังบวร มีริ้วกระบวนแห่เป็นกระบวนหน้า กระบวนหลัง ตามที่เคยจัด
กระบวนหน้า
- ตำรวจเลวถือหวาย นำริ้ว ๑๐ คู่
- ตำรวจเดินสายนอก ๒ สาย ๘๔ คน
- มหาดเล็กวังหลวงเดินสายใน ๒ สาย ๘๔ คน
- กลองชนะ ๒๐ คู่
- แตรฝรั่ง ๖ คู่
- แตรงอน ๖ คู่
- สังข์ ๒ คู่
- จ่าปี่ ๑
- จ่ากลอง ๑
- สารวัตร ๒
- เครื่องสูงหน้า สามชั้น ๕ คู่
- เครื่องสูงหน้า ห้าชั้น ๑ คู่
- บังแทรก ๔
- มหาดเล็กเชิญพระแสงหว่างเครื่อง (กระบวนหน้า) มีพระแสงดาบใจเพชร พระแสงดาบคาบค่าย พระแสงเขน ๒ พระแสงหอก ๒ พระแสงหอกคู่ ๒
- พระราชยาน มีพนักงานถวายอยู่งาน พระกลด ๑ คน บังสูรย์ ๑ คน พัดโบก ๑ คน พระทวย ๑ คน
- คู่เคียง ๔ คู่ คือ
คู่ที่ ๑ พระยากำแพงเพชร พระยาโชฎึก
คู่ที่ ๒ พระยาพิษณุโลก พระยาพิพิธโภไคย
คู่ที่ ๓ พระยานรินทร จมื่นเสมอใจราช
คู่ที่ ๔ พระยานครสวรรค์ พระยาเทพมณเฑียร
กระบวนหลัง
- มหาดเล็กเชิญเครื่อง มี ธารพระกร พัชนีท้ายพระที่นั่ง ฉลองพระบาท พานพระขันหมาก พระสุพรรณศรี พระเต้าสุธารส
- เครื่องสูง ห้าชั้น ๑ คู่
- เครื่องสูง สามชั้น ๕ คู่
- บังแทรก ๔
- มหาดเล็กเชิญพระแสงหว่างเครื่อง มีพระแสงง้าว พระแสงตรี พระแสงหอกง่าม
- มหาดเล็กวังหน้าเดินสายใน ๖๐ คน
- ตำรวจเดินสายนอก ๔๐ คน
- ม้าจูง ๔ คน
- (หัวพัน) มหาดไทยและกลาโหม เป็นผู้ตรวจ
รวมกระบวนแห่ ๒๖๘ คน
เมื่อเสด็จถึงพระราชวังบวรฯ ประทับเกยพลับพลาเปลื้องเครื่องที่มุขท้ายพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ เสด็จเข้าในพระที่นั่งทรงนมัสการพระรัตนตรัย สมเด็จพระสังฆราชจุดเทียนชัยถวายศีล แล้วทรงพระมหามงคล ประทับสดับพระปริตรจนจบ แล้วแห่เสด็จกลับพระบรมมหาราชวัง๑
วันรุ่งขึ้นเวลาเช้า ทรงพระเสลี่ยงไม่มีกระบวนแห่ มีตำรวจนำ เสด็จขึ้นไปทรงประเคนเลี้ยงพระสงฆ์ที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ เวลาบ่ายเสด็จไปทรงสดับพระปริตรเหมือนวันแรกเป็นเช่นนี้จนครบกำหนด ๓ วัน วันรุ่งขึ้นเป็นวันพระฤกษ์อุปราชาภิเษก
๑ มิได้มีทิ้งทานต้นกัลปพฤกษ์อย่างครั้งรัชกาลที่ ๑


วันพระราชพิธีอุปราชาภิเษก
ในวันพระฤกษ์ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ เสด็จโดยกระบวนแห่ไปยังพระราชวังบวรฯ เสด็จเข้าที่สรงสนาน สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระพนรัตน พระธรรมราชา พระญาณสังวร ถวายน้ำพระพุทธมนต์ด้วยพระเต้าปทุมนิมิตร๑
พราหมณ์ถวายน้ำกลศ น้ำสังข์ และใบมะตูม (เวฬุ) แล้วทรงเครื่องเสด็จมาทรงประเคนเลี้ยงพระสงฆ์ เสร็จแล้วเสด็จยังพลับพลา ทรงเครื่องพระภูษาลายเขียนทอง จีบโจงหางหงส์ ฉลองพระองค์กรองทอง ทรงพระมาลาเส้าสูงสีแสด ขึ้นพระราชยานแห่กลับพระบรมมหาราชวัง เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน รับพระราชทานพระสุพรรณบัฏและทูลเกล้าฯ ถวายเทียนทอง ธูปเงิน ข้าวตอก ดอกไม้ แล้วแห่เสด็จกลับพระราชวังบวรฯ
เวลาบ่ายเจ้าพนักงานตั้งบายศรีเวียนเทียนสมโภชพระราชมณเฑียรในพระราชวังบวรฯ เป็นอันเสร็จพิธี
๑ สมัยรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับน้ำจากพระราชาคณะด้วยพระมหาสังข์ต่างๆ ทรงหลั่งพระราชทานกรมพระราชวังบวรฯ ด้วยพระองค์เอง
