จากคำให้การชาวกรุงเก่า จะเห็นว่าเป็นการเขียนตามคำบอกเล่าที่ย่อสรุปมาก ความว่า “...ต้นมะเดื่ออยู่ทางทิศตะวันออกของพระมหานครธานีล้มได้หันยอดไปทางทิศปรางค์ปราสาทในพระราชวังเป็นมงคลนิมิตอันประเสริฐ พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาจึงโปรดให้เอาไม้มะเดื่อมาทำตั่งสำหรับประทับสรงพระกระยาสนานในการมงคล เช่น พระราชพิธีราชาภิเษก เป็นต้น พระองค์ย่อมประทับพระที่นั่งภัทรบิฐ มุขอำมาตย์ถวายเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ คือ พระมหามงกุฎ พระแสงขรรค์ พัดวาลวิชนี ธารพระกร ฉลองพระบาท ขณะนั้นพราหมณ์ปุโรหิตก็ถวายพระกรและเป่าสังข์ทักขิณาวัฎ เจ้าพนักงานตีกลองอินทรเภรี และชาวประโคมก็ประโคมเครื่องเบญจดุริยางค์ขึ้นพร้อมกัน แล้วพระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกประทับราชบัลลังก์ อันปูลาดด้วยหนังพระยาราชสีห์ เสนาพฤฒามาตย์เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพร้อมกันถวายพระนามอันจารึกในพระสุพรรณบัฎ มีกรอบประดับด้วยแก้วมณี และมีพานทองรองรับ”
จากคำให้การชาวกรุงเก่า๑ จะเห็นว่าเป็นการเขียนตามคำบอกเล่าที่ย่อสรุปมาก ความว่า “...ต้นมะเดื่ออยู่ทางทิศตะวันออกของพระมหานครธานีล้มได้หันยอดไปทางทิศปรางค์ปราสาทในพระราชวังเป็นมงคลนิมิตอันประเสริฐ พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาจึงโปรดให้เอาไม้มะเดื่อมาทำตั่งสำหรับประทับสรงพระกระยาสนานในการมงคล เช่น พระราชพิธีราชาภิเษก เป็นต้น พระองค์ย่อมประทับพระที่นั่งภัทรบิฐ มุขอำมาตย์ถวายเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ คือ พระมหามงกุฎ พระแสงขรรค์ พัดวาลวิชนี ธารพระกร ฉลองพระบาท ขณะนั้นพราหมณ์ปุโรหิตก็ถวายพระกรและเป่าสังข์ทักขิณาวัฎ เจ้าพนักงานตีกลองอินทรเภรี และชาวประโคมก็ประโคมเครื่องเบญจดุริยางค์ขึ้นพร้อมกัน แล้วพระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกประทับราชบัลลังก์ อันปูลาดด้วยหนังพระยาราชสีห์ เสนาพฤฒามาตย์เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพร้อมกันถวายพระนามอันจารึกในพระสุพรรณบัฎ มีกรอบประดับด้วยแก้วมณี และมีพานทองรองรับ”
“...พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา เสด็จโดยกระบวนแห่พยุหยาตราเลียบพระนครและมีการสมโภชพระนครอันมีนามว่า กรุงเทพมหานคร บวรทวารวดี ศรีอยุธยา มหาดิลกภพนพรัฐราชธานี บุรีรมย์
เมื่อเสร็จการพระราชพิธีแล้วพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา โปรดให้เอาทองคำมาชั่งมีน้ำหนักเท่าพระองค์ ทรงสร้างพระพุทธรูปและให้ทำเงินบาท พดด้วง เงินสลึง เงินเฟื้อง โดยน้ำหนักอันถูกต้องตามโบราณราชประเพณี อนึ่งโปรดให้งดเว้นไม่เก็บส่วยอากร ๓ ปี และทรงพระกรุณาโปรดให้ปล่อยนักโทษ ซึ่งติดอยู่ในเวรจำนั้นด้วย”
ความทั้งหมดนี้เป็นคำให้การของชาวกรุงเก่าที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยในเมืองหงสาวดีเมื่อครั้งเสียกรุงแก่ราชสำนักพม่า ทำให้ทราบถึงรายละเอียดในการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
อย่างไรก็ดี รายละเอียดเกี่ยวกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งกรุงศรีอยุธยานั้นสามารถศึกษาได้จากหนังสือเรื่องพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งเสียกรุงศรีอยุธยา ที่รวบรวมขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๖ อีกเล่มหนึ่ง๒ ซึ่งทำให้ทราบว่า
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในสมัยกรุงศรีอยุธยาจะประกอบการพระราชพิธีที่พระที่นั่งสรรเพชญ์ปราสาท๓ ทั้งพิธีสงฆ์และพิธีพราหมณ์เป็นเวลา ๓ วัน ก่อนวันพระราชพิธีจริง โดยพระสังฆราชทรงจุดเทียนชัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดเทียนราวบูชาพระ พระชัย และเครื่องราชูปโภค เช่น ดวงพระชันษา พระมนต์ภิเษก พระเต้าเงิน พระเต้าทอง พระเต้านาก พระเต้าสำริด ๒ องค์ พระนพ พระมหาสังข์ทักขิณาวัฎ พระเสมาธิปัตย์ พระฉัตรชัย พระเกาวพ่าห์ พระมหาธงชัย พระกระบี่ธุช พระแสงง้าวเจ้าพระยาแสนพลพ่ายแลพระแสงขอตีช้างล้ม
ที่เคียงแว่นฟ้าซึ่งมีเสาสี่เสาและมีเพดาน ก็ได้ตั้งเครื่องราชูปโภคอื่นๆ ด้วย คือ หีบพระธำมรงค์ ลุ้งพระมาลาเบี่ยง ฉลองพระองค์เกราะ ฉลองพระองค์นวม พระเต้าเบญจครรภ มีพระยันต์รอง ๕ องค์ พระมหาสังวาล พราหมณ์สร้อยอ่อน (สายธุรำยัชโญปวีต) พระเศวตฉัตร ผ้ารัตกัมพล ๒ องค์ กับเครื่องราชกกุธภัณฑ์ คือ พระมหามงกุฎ พระขรรค์ชัยศรี พัชนี ฝักมะขาม ธารพระกรและฉลองพระบาท นอกจากนี้มีพระแสงปืนคาบชุดข้ามแม่น้ำสะโตง พระแสงหอกชัย พระแสงของ้าว พระแสงดาบเชลย พระแสงเขนพร้อมดาบ พระแสงจักร พระแสงตรีศูล และพระแสงเกาฑัณฑ์
การประกอบพิธีพราหมณ์ได้ตั้ง พระอิศวร (พระศิวะ) พระอุมา พระนารายณ์ (พระวิษณุ) พระลักษมี
ด้านข้างพระที่นั่งสรรเพชญ์ปราสาท ปลูกโรงพระกระยาสนานเป็นทรงพระมณฑป๔ ประดับราชวัติฉัตรธง๕ ซึ่งในพระมณฑปตั้งเตียงลาดด้วยเสื่ออ่อนและผ้าขาวปูทับ ตั้งถาดทองแดงปากกว้าง ๓ ศอก
วันประกอบพระราชพิธีจริงเป็นวันที่สี่หลังจากมีการประกอบพิธีปฐม ๓ วัน๖ แล้ว ซึ่งในวันนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จขึ้นเวลาเช้า เพื่อทรงศีลและทรงประเคนสำรับภัตตาหารแด่พระสงฆ์ จากนั้นพระมหาราชครูเชิญเสด็จเพื่อทรงเสื้อถอดและทรงผ้าถอด (ฉลองพระองค์ชุดขาวเพื่อสรงน้ำ) แล้วอัญเชิญเสด็จไปโรงพระกระยาสนาน โดยมีพราหมณ์เชิญพระชัยนำเสด็จ พระสงฆ์ลงไปคอยฤกษ์
เมื่อได้พระมงคลฤกษ์ โหรชักกล่อม ชาวพระภูษามาลาถวายเครื่องพระมูรธาภิเษก ขุนศรีสยุมพรหลั่งน้ำสหัสธารา เมื่อสรงแล้วพระราชาคณะอธิการฝ่ายสมถะ (อรัญวาสี) รดน้ำพระเต้าเงิน พระเต้าทอง พระเต้านาก และพระเต้าสำริด
พราหมณ์ถวายน้ำพระกลศ น้ำพระสังข์ เมื่อเสร็จการพระราชพิธีสรงพระมูรธาภิเษกแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระภูษาลายพื้นแดงฉลองพระองค์กรองเสด็จขึ้นบนพระที่นั่งประทับบนตั่งไม้มะเดื่อ๗ ทรงผินพระพักตร์ไปทางทิศอีสาน (ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ) ก่อน โดยรอบๆ พระที่นั่งตั่งไม้อุทุมพรหรือไม้มะเดื่อนี้ มีตั่งขนาดเล็กกว้าง ๑ ศอก ปูผ้าขาวตั้งในแต่ละทิศรวม ๘ ที่ ตั่งแต่ละตัวนี้ใช้สำหรับตั้งรูปพระอัฐทิศหรือเทวดาอัษฎเคราะห์ พระกลศ และสังข์ พระอัฐทิศที่อัญเชิญมาตั้งบนตั่งแต่ละทิศมีดังนี้
พราหมณ์ถวายน้ำพระมหาสังข์ทักขิณาวัฎ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับด้วยพระหัตถ์มาสรงพระพักตร์แล้วเสวยหน่อยหนึ่ง จากนั้นพราหมณ์ถวายราชสมบัติ ถวายเวท ถวายมนต์ ถวายชัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผันพระองค์ไปรอบทั้งแปดทิศ แล้วเสด็จขึ้นบนพระที่นั่งภัทรบิฐ๘ ซึ่งก็มีผ้าขาวปู โรยแป้ง จากนั้นวางหญ้าคา แล้วจึงปูแผ่นทองซึ่งเขียนรูปราชสีห์ด้วยชาดหรคุณไว้ซ้อนกันอีกชั้นหนึ่ง
จากนั้นพราหมณ์ถวายพระสุพรรณบัฏ พระมหาสังวาลสร้อยอ่อน เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์๙ อาทิ พระเศวตฉัตร ผ้ารัตกัมพล พระมหามงกุฎ พระขรรค์ชัยศรี และฉลองพระบาท รวมทั้งเครื่องอัษฎาวุธ ได้แก่ พระแสงปืน พระแสงหอกชัย พระแสงดาบเชลย พระแสงของ้าว พระแสงจักร พระแสงตรีศูล พระแสงเขน และพระแสงเกาทัณฑ์ พราหมณ์ถวายชัยถวายพรจบแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงมีรับสั่งแก่พระมหาราชครูผู้ใหญ่ว่า “พรรณพฤกษ์และสิ่งของทั้งปวงซึ่งมีในแผ่นดินทั่วขอบเขตแดนพระนคร ซึ่งหาเจ้าของหวงแหนมิได้นั้น ตามแต่สมณชีพราหมณ์ อาณาประชาราษฎรจะปรารถนาเถิด” แล้วพระมหาราชครูผู้ใหญ่รับพระราชโองการเป็นฤกษ์ก่อน ต่อจากนั้นข้าทูลละอองธุลีพระบาทจึงรับพระราชโองการ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรยดอกพิกุลเงิน ดอกพิกุลทอง พราหมณ์เป่าพระมหาสังข์ ตีฆ้องชัย กลองอินทเภรี ประโคมมโหระทึก แตร สังข์ มโหรี ขับไม้ ประโคมแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปทรงเครื่องชาวพระภูษามาลา ถวายพระสนับเพลาเชิงงอนสองชั้น ภูษาริ้ววรวะยีจีบโจง โยคีรัดพระองค์หนามขนุน ทรงฉลองพระกรน้อย ทรงฉลองพระองค์สีย่นนอก รัดพระองค์แครง เหน็บพระแสงกั้นหยั่นพูนิล ทรงพระธำมรงค์พลอยต่างๆ ทรงพระชฎาพระเกี้ยว แหวนแดง รวม ๙ สิ่ง มหาดเล็กถวายพระแสงใจเพชร ฉลองพระบาท เสด็จขึ้นพระราชยาน แห่เครื่องสูงเป็นกระบวนลงมาพระตำหนักสวนกระต่าย เป็นอันเสร็จพิธี
๑ คำให้การชาวกรุงเก่า, “ราชประเพณีกรุงศรีอยุธยา”, คลังวิทยา, ๒๕๑๕ หน้า ๒๖๑-๒๖๔
๒ ลัทธิธรรมเนียมต่างๆ เล่ม ๒, อ้างแล้ว หน้า ๕๔๙-๕๕๖
๓ รัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศประกอบพิธีบนพระที่นั่งพิมานรัตยา วังหน้า หรือ วังจันทรเกษม
๔ พระมณฑปมีนาคช่อห้อย ช่อตั้ง เป็นใบโพธิ์ห้องหลังคาบุแผงปูผ้าขาวนนอก มีเพดานผ้าขาวประดับดอกจำปาทองห้อยพระมณฑปหุ้มผ้าขาวและมีม่านขาว
๕ ราชวัติฉัตรธง ประกอบด้วย ฉัตรเงิน ฉัตรทอง ฉัตรนาก ฉัตรเบญจรงค์ ต้นกล้วย ต้นอ้อย ดอกหมาก และดอกมะพร้าว
๖ ทั้งสามวันนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระภูษาลายพื้นขาว ฉลองพระองค์กรอง ทรงพระมาลาเส้าสูงสีกุหร่า และทรงพระมหามงคลไปทรงฟังสวดในเวลาบ่าย
๗ ตั่งนี้กล่าวว่ากว้างศอกคืบ บนตั่งปูผ้าขาวโรยแป้งลาดหญ้าคาแล้วปูผ้าขาวซ้อนพับอีกครั้งหนึ่ง ตั่งนี้เป็นรูปแปดเหลี่ยมที่เรียกว่าพระแท่นอัฐทิศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะต้องผันพระองค์ไปทั้งแปดทิศเพื่อทรงรับน้ำพระมหาสังข์ทักขิณาวัฎจากพราหมณ์ทั้งแปดทิศ
๘ รัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศและรัชกาลพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ไม่ตั้งพระที่นั่งภัทรบิฐ เสด็จขึ้นแต่พระที่นั่งอัฐทิศ
๙ รัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ไม่ถวายเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์