การพระราชพิธี + บรม + ราชา + อภิเษก
คำสำคัญ คือคำว่า “อภิเษก” แปลว่า รดน้ำ
การพระราชพิธีบรมราชาภิเษก จึงแปลว่า
การรดน้ำเพื่อแต่งตั้งเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
การพระราชพิธีบรมราชาภิเษก มาจากคำว่า การพระราชพิธี + บรม + ราชา + อภิเษก คำสำคัญ คือคำว่า “อภิเษก” แปลว่า รดน้ำ การพระราชพิธีบรมราชาภิเษกจึงแปลว่าการรดน้ำเพื่อแต่งตั้งเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของไทยนี้มีรูปแบบผสมผสานทั้งความเชื่อทั้งพิธีกรรมของศาสนาพราหมณ์กับศาสนาพุทธ และผสมผสานกับคติความเชื่อในประเพณีดั้งเดิมที่ประกอบขึ้นมาเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ เครื่องราชูปโภค และเครื่องราชภัณฑ์ในการสมโภชพระมหามณเฑียร อันเป็นการสะท้อนถึงอารยธรรมและภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพระราชพิธีเฉลิมพระเกียรติยศองค์พระประมุขในการบรมราชวโรกาสที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์ เครื่องประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้นประกอบด้วยเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ โดยพระราชครูพราหมณ์จะเป็นผู้กล่าวถวายเครื่องสิริเบญจราชกกุธภัณฑ์เพื่อเฉลิมพระราชอิสริยยศ อันเป็นพระราชประเพณีที่สืบเนื่องมาจากศาสนาพราหมณ์
ต่อมา เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๔ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงพระราชดำริว่า วันบรมราชาภิเษกนั้นเป็นมหามงคลสมัยควรมีการสมโภชพระมหาเศวตฉัตรเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ราชสมบัติ จึงทรงจัดการพระราชกุศลและให้มีการถือน้ำพิพัฒน์สัตยาก่อนพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอีกด้วย
พระราชทานชื่อว่า “พระราชพิธีฉัตรมงคล” พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มการบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตราธิราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์และเปลี่ยนชื่อพระราชพิธีว่า พระราชกุศลทักษิณานุประทาน และพระราชพิธีฉัตรมงคล สืบมาจนปัจจุบัน
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก รูปแบบของการขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ 5 รูปแบบ ทศพิธราชธรรม
รูปแบบของการขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ 5 รูปแบบ
การประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ผู้ที่จะเป็นกษัตริย์นั้นตามตำราภาษาบาลีกล่าวว่ามีลักษณะแบ่งออกได้ ๕ ประการ คือ ๑
- มงคลอินทราภิเษก คือ ผู้ที่ปกครองแผ่นดินได้เข้าพิธีราชาภิเษก และมีพระอินทร์นำเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์มาถวาย ประกอบกับพระบุษยพระพิชัยราชรถกับฉัตรทิพย์ได้บังเกิดขึ้น การมีสิ่งอันเป็นมงคลทั้ง ๓ ประเภทนี้ เรียกว่า อินทราภิเษก
- มงคลโภคาภิเษก คือ ผู้ที่จะเข้าพิธีราชาภิเษกมีเชื้อสายเป็นตระกูลพราหมณ์ที่เป็นมหาเศรษฐี มีทรัพย์สมบัติเป็นบริวาร รู้จักราชธรรมและตราชูธรรมกับทศกุศล และรู้จักที่จะแบ่งปันตัดรอนทุกข์ของราษฎรแล้ว เรียกว่า โภคาภิเษก
- มงคลปราบดาภิเษก คือ ผู้ที่จะเข้าพิธีราชาภิเษกมีเชื้อสายเป็นตระกูลกษัตริย์ มีอำนาจกล้าหาญในการสงคราม ได้ราชฐานบ้านเมืองและราชสมบัติ มีชัยแก่ศัตรู เรียกว่า ปราบดาภิเษก
- มงคลราชาภิเษก คือ ผู้ที่จะเข้าพิธีราชาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ด้วยการได้รับมอบราชสมบัติจากพระราชบิดาให้สืบพระวงศา เรียกว่า ราชาภิเษก
- มงคลอุภิเษก คือ ผู้ที่เป็นเชื้อสายกษัตริย์ที่เกิดจากพระราชบิดามารดาที่มีตระกูลชาติเสมอกัน ได้อภิเษกสมรสกับผู้มีเชื้อสายกษัตริย์ แม้ว่าจะเป็นกษัตริย์จากแดนไกลแต่มีลักษณะสุขุมขัตติยชาติ ซึ่งจัดเป็นสวัสดิชาติ เรียกว่า อุภิเษก
๑ ราชาภิเษกและจดหมายเหตุบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ ๕, กรมศิลปากร, พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นาวาอากาศตรีสมภาพ สุตสุนทร ณ ฌาปนสถานกองทัพบก วัดโสมนัสวิหาร วันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๐๙ พิมพ์ครั้งที่ ๓ โรงพิมพ์ชวนพิมพ์, หน้า ๑-๒
ทศพิธราชธรรม
ทศพิธราชธรรมหรือธรรม ๑๐ ประการที่พระมหากษัตริย์พึงกระทำตามสัจจธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสไว้เป็นหลักสำหรับพระมหากษัตริย์ ได้แก่
- ทานํ หรือ ทาน คือ การพระราชทานพัสดุสิ่งของแก่ผู้ควรได้รับ
- ศีลํ หรือ ศีล คือ การตั้งสังวรรักษาพระอาการ กาย วาจา ให้สะอาดปราศจากโทษอันควรครหา
- ปริจจาคํ หรือ บริจาค คือ การพระราชบริจาคไทยธรรมหรือสิ่งของเพื่อให้เป็นประโยชน์ทั้งแก่พระราชวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทตามฐานะที่รับราชการฉลองพระเดชพระคุณ รวมทั้งพระราชทานแก่ประชาชนผู้ยากไร้ได้อาศัยเลี้ยงชีวิต
- อาชฺชวํ หรือ อาชวะ คือ การมีพระราชอัชฌาสัยอันประกอบด้วยความซื่อตรง ดำรงในสัตย์สุจริต ซื่อตรงต่อพระราชสัมพันธมิตรและพระราชวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งปวง ไม่ทรงคิดลวงประทุษร้าย โดยอุบายผิดยุติธรรม
- มทฺทวํ หรือ มัททวะ คือ การมีพระราชอัชฌาสัยอ่อนโยน ไม่ดื้อดึงถือพระองค์ แม้มีผู้ตักเตือนในบางอย่างด้วยความมีเหตุผลก็จะทรงพิจารณาโดยถ้วนถี่ ถ้าถูกต้องดีชอบก็จะทรงอนุโมทนาและปฏิบัติตาม ทรงสัมมาคารวะอ่อนน้อมแก่ท่านผู้เจริญโดยวัยและโดยคุณ ไม่ทรงดูหมิ่น
- ตปํ หรือ ตบะ คือ การทรงสมาทานกุศลวัตร ด้วยการเอาพระราชหฤทัยใส่ในการปกครองพระราชอาณาเขตและประชาชนให้มีความสุขปราศจากภยันตราย ตลอดจนการมีพระอุตสาหะอันแรงกล้าในกุศลสมาทาน ระวังบาปที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น และเพื่อกำจัดบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้เสื่อมสูญ ไม่ตั้งอยู่ได้ในพระสันดาน
- อกฺโกธํ หรือ อักโกธะ คือ การมีพระกิริยาที่ไม่โกรธโดยวิสัย มิใช่เหตุที่ควรโกรธ แม้มีเหตุให้ทรงพระพิโรธแต่ทรงข่มเสียให้อัตรธานสงบระงับไป ด้วยทรงมีพระเมตตาอยู่เสมอ ไม่ทรงปรารถนาจะก่อภัยก่อเวรแก่ผู้ใด
- อวิหิสญฺจ หรือ อวิหิงสา คือ การไม่ทรงเบียดเบียนผู้ใด ด้วยทรงมีพระราชอัชฌาสัยกอปรด้วยพระกรุณา ไม่ทรงปรารถนาจะก่อทุกข์แก่ผู้ใด ไม่ทรงเบียดเบียนพระราชวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท และอาณาประชาราษฎร์ ให้ลำบากด้วยเหตุอันไม่ควรกระทำ
- ขนฺติญฺจ หรือ ขันติ คือ การมีพระราชหฤทัยดำรงมั่นในขันติ มีความอดทนต่อสิ่งที่ควรอดทน เช่น อดทนต่อทุกข์ อดทนต่อถ้อยคำที่กล่าวชั่ว อดทนต่อเวทนาอันเกิดขึ้นในพระวรกาย และทรงมีพระขันติ พระเมตตา พระกรุณาธิคุณ ทรงอดโทษแก่ผู้ประมาทกระทำผิดล่วงพระอาชญาและควรลงราชทัณฑ์
- อวิโรธนํ หรือ อวิโรโธ คือ การทรงรักษายุติธรรมไม่ให้แปรผันจากสิ่งที่ตรงและดำรงพระอาการไม่ยินดียินร้ายต่ออำนาจอคติทั้งปวง
ทศพิธราชธรรมดังกล่าวมาทั้ง ๑๐ ประการนี้ เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงดำรงได้ด้วยดีในพระองค์แล้ว บรรดาพระราชวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท ตลอดจนอาณาประชาราษฎร์ ย่อมมีความสวามิภักดิ์รักใคร่นับถือ ตั้งใจประกอบราชกิจฉลองพระเดชพระคุณโดยเต็มกำลัง ทั้งกำลังกายและกำลังปัญญาความคิด ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต บำรุงประเทศชาติให้มั่งคั่งสมบูรณ์อย่างแน่แท้
และมิควรปฏิบัติ
ขององค์พระมหากษัตริย์ ข้อปฏิบัติและยึดถือ ๙ ประการ การที่มิควรปฏิบัติสำหรับพระมหากษัตริย์ ๑๐ ประการ จักรวรรดิวัตร ๕ ประการ ราชสังคหวัตถุ ๔ ประการ อคติที่ต้องละเว้น ๔ ข้อ
ข้อปฏิบัติและยึดถือ ๙ ประการ
เดิมมีความเชื่อถือในการที่ควรและมิควรปฏิบัติขององค์พระมหากษัตริย์ว่า ถ้าองค์พระมหากษัตริย์จะรักษาพระองค์ให้ทรงมีความเจริญรุ่งเรือง มีพระอิสริยยศประกอบด้วยฤทธานุภาพและตบะอันสูงแล้ว มีข้อปฏิบัติและยึดถือ ๙ ประการ คือ
- เมื่อจะเสวยพระกระยาหาร ประทับหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก
- ให้เสวยปลาที่มีรสโอชา
- ให้เสวยผลไม้ที่มีรสหวาน
- ให้ดมกลิ่นดอกไม้อันหอม
- ให้สรง (อาบน้ำ) ระหว่างเวลาเที่ยง
- ให้ลูบไล้พระวรกายด้วยเครื่องหอม
- เมื่อจะบรรทมให้บ่ายพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก
- เมื่อตื่นพระบรรทมแล้วให้สรงพระพักตร์ด้วยน้ำสังข์และน้ำที่มีกลิ่นหอม และให้หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก
- ให้ทรงพระภูษาเนื้อละเอียด
การที่มิควรปฏิบัติสำหรับพระมหากษัตริย์ ๑๐ ประการ
- อย่าทอดพระเนตรดูแสงพระอาทิตย์
- อย่าบรรทมตื่นสายจนแสงพระอาทิตย์ขึ้น
- อย่าเสวยพระกระยาหารในเวลาบ่ายถึงยามหนึ่ง
- อย่าเสวยผลไม้ที่มีต้นและผลดำ
- อย่าเสวยน้ำที่มีมันตมและห้วยหนอง
- อย่าเสวยเนื้อปลาที่คาวและไม่มีมัน
- อย่าเสวยพระโอสถที่หมอปรุงขึ้นในที่มิชอบ
- อย่าเสวยสิ่งที่ต้องขบ ต้องกัด
- อย่าเสพกามคุณด้วยสตรีที่มีอายุ ๔๐-๕๐ ปี
- อย่าทรงพระภูษาเนื้อหยาบ
จักรวรรดิวัตร ๕ ประการ
นอกจากทศพิธราชธรรมที่องค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงคุณธรรมจะต้องปฏิบัติแล้ว พระองค์ยังทรงต้องบำเพ็ญพระราชกรณียกิจที่สำคัญๆ เรียกว่าจักรวรรดิวัตรด้วย ซึ่งมีอยู่ ๕ ประการ คือ
- ธรรมาธิปไตย ถือธรรมเป็นใหญ่ เคารพและเชิดชูธรรม และตั้งตนอยู่ในธรรม
- ธรรมิการักขา ให้ความคุ้มครองโดยธรรม ด้วยการรักษาคุ้มครองป้องกันอันชอบธรรมแก่ชนทุกหมู่เหล่าในแผ่นดิน
- มา อธรรมการ คือ จัดการป้องกันแก้ไขมิให้มีการกระทำที่ไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นในบ้านเมือง
- ธนานุประทาน แบ่งปันทรัพย์เฉลี่ยให้แก่ผู้ยากไร้ด้วยการจัดให้ราษฎรหาเลี้ยงชีพพึ่งตนเองได้
- ปริปุจฉา คือ การมีที่ปรึกษาที่ทรงวิชาการ ทรงคุณธรรม เป็นผู้ประพฤติดี ประพฤติชอบ ที่ช่วยเจริญปัญญาและกุศลธรรม
ราชสังคหวัตถุ ๔ ประการ
พระมหากษัตริย์ต้องทรงประกอบราชสังคหะ คือ ต้องทำนุประชาราษฎร์ด้วยหลักธรรมที่เรียกว่า ราชสังคหวัตถุ กับทั้งต้องเป็นผู้ละเว้นอคติทั้งปวงด้วย สำหรับราชสังคหวัตถุมี ๔ ประการ คือ
- สัสสเมธะ ฉลาดบำรุงธัญญาหาร
- ปุริสเมธะ ฉลาดบำรุงข้าราชการ
- สัมมาปาสะ ผูกผสานรวมใจประชา
- วาชไปยะ มีวาทะดูดดื่มใจ
อคติที่ต้องละเว้น ๔ ข้อ
- ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะชอบ
- โทสาคติ ลำเอียงเพราะชัง
- โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลงหรือเขลา
- ภยาคติ ลำเอียงเพราะขลาดกลัว
หมวดพระเจ้า
- พระบรมสารีริกธาตุ (พระสถูปถม)
- พระพุทธบุษยรัตน์
- พระพุทธบุษยรัตน์ รัชกาลที่ ๒
- พระพุทธบุษยรัตน์ รัชกาลที่ ๕
- พระแก้วเรือนทอง
- พระแก้วเชียงแสน
- พระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ ประจำรัชกาลที่ ๑
- พระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ ประจำรัชกาลที่ ๒
- พระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ ประจำรัชกาลที่ ๓
- พระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ ประจำรัชกาลที่ ๔
- พระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ ประจำรัชกาลที่ ๕
- พระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ ประจำรัชกาลที่ ๖
- พระชัยพิธี
- พระชัยหลังช้าง
- พระนิรันตราย
- คัมภีร์พระธรรม
- พระแก้วอุ้มบาตร
- พระชัยนวโลหะ
- พระแก้วนาคสวาสดิ์
- พระพุทธรูปปางห้ามสมุทรทรงเครื่องทองคำ
- พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร
- พระแก่นมหาโพธิ์
หมวดพระราชศิริ
- พระสุพรรณบัฏ พร้อมพระกรัณฑ์
- ดวงพระชันษา พร้อมพระกรัณฑ์
- พระราชลัญจกร พร้อมพระกรัณฑ์
หมวดเครื่องพระมูรธาภิเษก
- พระครอบพระกริ่ง
- พระมหาสังข์ทักษิณาวัฏ
- พระมหาสังข์ทอง
- พระมหาสังข์นาก
- พระมหาสังข์เงิน
- พระมหาสังข์
- พระเต้าเบญจครรภใหญ่
- พระเต้าเบญจครรภรอง
- พระเต้าเบญจครรภห้าห้อง
- พระเต้าปทุมนิมิตทอง
- พระเต้าปทุมนิมิตเงิน
- พระเต้าปทุมนิมิตนาก
- พระเต้าปทุมนิมิตสัมฤทธิ์
- พระเต้าห้ากษัตริย์
- พระเต้าบัวหยกเขียว
- พระเต้ากลีบบัวแดง
- พระเต้าจารึกอักษร
- พระเต้าศิลากลีบบัวขาวยอดเกี้ยว
- พระเต้าบังกลี
- พระเต้าเทวบิฐ
- พระเต้าไกลาส
- พระเต้านพเคราะห์
- พระครอบพระมูรธาภิเษก
- พระเต้าทองเกลี้ยง
- พระเต้ากลีบบัวใหญ่
- พระเต้ามงคลแปด
- พระเต้าโมราดำ
- พระขันหยกมีเชิงเทียนชนวน สำหรับสมเด็จพระสังฆราชจุดเทียนชัย
หมวดพระเครื่องต้น
- พระมหาพิชัยมงกุฎ
- พระชฎาห้ายอด
- พระแสงขรรค์ชัยศรี
- ธารพระกรชัยพฤกษ์
- ธารพระกรเทวรูป
- ธารพระกรศักดิ์สิทธิ์
- วาลวิชนี
- ฉลองพระบาท
- พระภูษารัตกัมพล
- พระมหาสังวาล
- พระนพ
- พระสังวาลพราหมณ์
- พระธำมรงค์
- พระแส้หางช้างเผือก
- พระแส้จามรี
หมวดเครื่องพิชัยสงคราม
- หีบเครื่องพระพิชัยสงคราม
- หีบเครื่องพระมนต์พิเศษ
- พระมาลาเบี่ยง
- ฉลองพระองค์เกราะเหล็ก
- ฉลองพระองค์เกราะนวม
- เครื่องทรงลงยันต์ราชะ ๗ สี
หมวดพระแสง
- พระแสงดาบเชลย
- พระแสงจักร
- พระแสงตรีศูล
- พระแสงธนู
- พระแสงดาบเขน
- พระแสงหอกชัย
- พระแสงปืนคาบชุดข้ามแม่น้ำสะโตง
- พระแสงของ้าวเจ้าพระยาแสนพลพ่าย
- พระแสงดาบคาบค่าย
- พระแสงดาบใจเพชร
- พระแสงดาบเวียต
- พระแสงทวนทอง
- พระแสงง้าวด้ามถมฝักทอง
- พระแสงปืนคาบศิลาเคยทรง
- พระแสงขอตีช้างล้ม
- พระแสงฟันปลา
- พระแสงดาบญี่ปุ่น รัชกาลที่ ๖
- พระแสงแฝด
- พระแสงขรรค์นวโลหะ
- พระแสงฝักมุกทรงเดิม
- พระแสงฝักทองเกลี้ยง
- พระแสงมรกต
- พระแสงขอคร่ำด้ามไม้เท้า
- พระแสงชนักต้น
- พระแสงศร ๓ องค์
- พระแสงตรีศูลด้ามหยก
- พระแสงตรีศูลด้ามกรามช้าง
- พระแสงตรีศูลด้ามสั้น
- พระแสงหอกร่อนน้อย
- พระแสงทวนถมคู่
- พระแสงง้าวถมคู่
- พระแสงดาบฝักเหล็กคร่ำทองคู่
หมวดเครื่องสูง
- พระเศวตฉัตร
- พระเสมาธิปัตย์
- พระฉัตรชัย
- พระเกาวพ่าห์
- ธงชัยราชกระบี่ธุชใหญ่
- ธงชัยราชกระบี่ธุชน้อย
- ธงชัยพระครุฑพ่าห์ใหญ่
- ธงชัยพระครุฑพ่าห์น้อย
- ธงบรมราชาธวัช
- ธงไอยราพรต
- ธงมหาไพชยนตธวัช
หมวดเครื่องราชูปโภค
- พานพระขันหมาก
- พระสุพรรณศรีบัวแฉก
- พระเต้าสุธารส
- พระสุพรรณราช
ความหมายของการใช้หนังราชสีห์ปูลาดบนพระราชบัลลังก์และพระที่นั่งภัทรบิฐ
ราชสีห์เป็นสัตว์ในจินตนาการของศิลปินและปราชญ์ไทยมาแต่ดั้งเดิมว่าเป็นสัตว์ประเภทจตุบาทที่มีพลังอำนาจเหนือสัตว์ทั้งหลาย มีชีวิตอยู่ในป่าหิมพานต์อันเป็นป่าเชิงเขาสัตตบรรพตรอบเขาพระสุเมรุ อันเป็นสวรรค์ที่องค์พระอินทร์อธิบดีแห่งเหล่าเทวดาสถิตอยู่ อาจกล่าวได้ว่าความจริงแล้วราชสีห์คือสัตว์ที่ท่านนักปราชญ์ทั้งหลายจินตนาการมาจากสิงโต
คตินิยมในกีฬาล่าสัตว์ดุร้ายโดยเฉพาะการล่าสิงโตของพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยโบราณได้แพร่หลายเหมือนกันทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นอินเดียโบราณ เปอร์เซีย อียิปต์ เมโสโปเตเมีย ตลอดจนถึงอาณาจักรโรมันโบราณ นอกจากจะล่าสิงโตเพื่อนำหนังมาประดับพระราชวัง แสดงความกล้าหาญและบุญญาบารมีของตนแล้ว กษัตริย์เหล่านี้ยังนิยมเลี้ยงสิงโตไว้ข้างพระองค์ด้วย คล้ายกับสามัญชนทั่วไปที่นิยมเลี้ยงสุนัข
พระมหากษัตริย์โบราณในแต่ละอาณาจักรนี้ เมื่อประทับอยู่ที่ใดก็จะมีสิงโตหมอบอยู่ข้างพระราชบัลลังก์เสมอ จนถือกันว่าเป็นสัตว์ที่คู่ควรแก่ความเป็นพระราชา ดังนั้นจึงมีการสืบทอดคติความเชื่อนี้มายังประเทศอื่นๆ ด้วย แม้ว่าในดินแดนของประเทศนั้นๆ จะไม่มีสิงโตให้ล่าเป็นกีฬาก็ตาม และปรากฏว่ามีการนำรูปสิงโตหรือราชสีห์มาสลักนั่งหมอบ หรือนั่งชันเข่ามองเห็นเต็มตัวอยู่ข้างๆ ราชบังลังก์ด้วย จึงเรียกที่ประทับนี้ว่าราชสีหาสน์ หรืออาจสั่งซื้อหนังสิงโตจากต่างประเทศมาปูลาดอยู่เบื้องหน้าราชบังลังก์ก็มี อย่างไรก็ดีเราจะพบราชสีหาสน์ปรากฏอยู่ในงานศิลปกรรมโบราณเสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพสลักหินหรือภาพปูนปั้นเพื่อประดับอาคาร ศาสนสถาน แม้แต่รูปเคารพ อย่างเช่นพระพุทธรูปหรือพระโพธิสัตว์ของอินเดียโบราณที่ประทับบนบัลลังก์ก็มีรูปสิงโตปรากฏอยู่
งานศิลปกรรมที่สร้างขึ้นจากความเป็นจริงนี้พบว่าค่อยๆ มีวิวัฒนาการเรื่อยมา จากราชสีหาสน์ที่มีรูปสิงโตเต็มตัว เหลือเพียงราชบัลลังก์ที่มีขาเป็นเพียงรูปเท้าสิงห์เท่านั้น ซึ่งจะพบและศึกษาได้ในศิลปกรรมโบราณในราชอาณาจักรไทย นับตั้งแต่ศิลปกรรมทวารวดี ศิลปกรรมศรีวิชัย ศิลปกรรมลพบุรี เป็นลำดับเรื่อยมาจนในแบบสุโขทัย ล้านนา อยุธยา และรัตนโกสินทร์ ซึ่งจะพบว่ามีพระราชบัลลังก์ที่สลักขาเป็นรูปเท้าสิงห์ พระแท่นบรรทมเท้าสิงห์ โต๊ะเท้าสิงห์ เป็นต้น
ความสำคัญของราชสีห์ฝังแน่นอยู่ในคติความเชื่อว่าองค์พระมหากษัตริย์จะทรงมีพระเกียรติยศอันสูงยิ่งเมื่อประทับบนพระราชบัลลังก์ที่มีหนังราชสีห์ปูลาด โดยเฉพาะในราชอาณาจักรไทย ดังนั้นในการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกจึงมีระเบียบว่าพระที่นั่งภัทรบิฐอันเป็นพระที่นั่งที่ประทับให้พราหมณ์พระราชครูทำพิธีทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ราชสมบัติ และพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร ตลอดจนเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศอื่นๆ พระที่นั่งภัทรบิฐจะต้องปูลาดด้วยเครื่องหนังราชสีห์ หรือเวลาที่องค์พระมหากษัตริย์จะทรงยืนประกอบพิธีกรรมก็ต้องทรงยืนบนหนังราชสีห์
อย่างไรก็ดี สำหรับการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ปรากฏหลักฐานว่ามีการปรับปรุงใหม่โดยใช้แผ่นทองคำเขียนรูปราชสีห์ด้วยชาดหรคุณปูลาดบนพระที่นั่งภัทรบิฐแทน ซึ่งเข้าใจว่าใช้มาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายจนถึงรัชกาลปัจจุบัน อาจเป็นเพราะหนังราชสีห์หรือหนังสิงโตเป็นของหายากประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งอาจเป็นด้วยพระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นพุทธมามกะที่เคร่งครัด ไม่โปรดใช้ของที่ต้องทำลายชีวิต อย่างเช่นหนังสิงโตนั้นจะได้มาก็จากการล่า จึงมีการเปลี่ยนแปลงไปดังที่กล่าวแล้ว
ความหมายของการเสด็จเลียบพระนคร
การเสด็จเลียบพระนครจะด้วยกระบวนพยุหยาตราสถลมารคหรือกระบวนพยุหยาตราชลมารคนั้น ล้วนเป็นการแสดงแสนยานุภาพในกองทัพ ทั้งกองทัพบกและกองทัพเรือของพระมหากษัตริย์ไทยมาแต่โบราณ อย่างไรก็ดี มีข้อน่าสังเกตอย่างหนึ่ง คือ การจัดริ้วกระบวนพยุหยาตราสถลมารคนั้น ถ้าพิจารณาถึงกระบวนทัพหลวง ซึ่งมีองค์พระมหากษัตริย์ประทับบนพระที่นั่งราเชนทรยาน หรือบางรัชกาลประทับบนพระที่นั่งราชยานพุดตาลทองนั้น ลวดลายที่ประดับบนฐานแต่ละชั้นของพระราชยานมีทั้งลายเทพนมและครุฑพนม ลวดลายเหล่านี้มีความหมายแสดงว่าพระราชยานที่ประทับคือโลกสวรรค์ที่เขาพระสุเมรุของพระอินทร์หรือที่เขาไกรลาสขององค์พระศิวะ รอบๆ สวรรค์มีเทวดาและครุฑ ซึ่งเป็นเทพบริวารร่วมกันมาชื่นชมพระบารมีขององค์สมมติเทพหรือทิพยเทวาวตาร ซึ่งคือองค์พระมหากษัตริย์ที่ประทับบนพระราชยานนั้น และถ้าจะให้ความสำคัญที่รูปครุฑ จะหมายความว่าองค์พระมหากษัตริย์นั้นคือองค์พระวิษณุซึ่งมีครุฑเป็นพาหนะมาคอยรับเมื่อจะเสด็จไปในที่ต่างๆ
เครื่องสูงต่างๆ ที่เข้ากระบวนแห่ห้อมล้อมพระราชยาน ไม่ว่าจะเป็นบังสูรย์ บังแทรก พัดโบก จามร พุ่มดอกไม้ทอง พุ่มดอกไม้เงิน ตลอดจนเครื่องประโคมต่างๆ ล้วนกล่าวว่าเป็นการจำลองภาพของริ้วกระบวนขององค์เทวะมาใช้กับองค์สมมติเทพในมนุษยโลก
อนึ่ง ริ้วกระบวนพยุหยาตราชลมารค ซึ่งแสดงแสนยานุภาพของกองทัพเรือก็พบว่ากระบวนเรือนั้นเรือแต่ละลำจะประดิษฐ์โขนเรือเป็นรูปสัตว์ เช่น สัตว์ที่มีความว่องไว สัตว์ในเทพนิยาย และสัตว์จากเรื่องรามายณะหรือรามเกีรยติ์ เช่น โขนเรือรูปเสือ รูปเลียงผา รูปนกอินทรี รูปมังกร รูปลิง รูปครุฑ รูปหงส์ และรูปนาค ตลอดจนพวกอมนุษย์ เช่น อสูร
บรรดาเรือที่อยู่รอบๆ เรือพระที่นั่งลำทรงหรือในกระบวนทัพหลวงจะเป็นเรือที่มีโขนเป็นรูปอมนุษย์ที่เป็นเทพบริวาร หรือเป็นพาหนะของเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ เช่น หงส์เป็นพาหนะของพระพรหม พระยานาคเจ็ดเศียรหรืออนันตนาคราชเป็นที่ประทับของพระวิษณุ และครุฑก็เป็นพาหนะของพระวิษณุด้วยเช่นกัน ส่วนโขนเรือรูปลิงจะมีรูปหนุมาน สุครีพ พาลี ซึ่งมาจากเรื่องรามเกียรติ์ ลิงดังกล่าวล้วนเป็นทหารเอกที่สำคัญของพระรามซึ่งทรงเป็นอวตารภาคหนึ่งของพระวิษณุหรือพระนารายณ์ ริ้วกระบวนเรือนี้จึงเป็นริ้วกระบวนที่มาห้อมล้อมองค์สมมติเทพที่ทรงเป็นอวตารภาคหนึ่งของพระวิษณุ ตามคติความเชื่อดั้งเดิมในราชสำนัก
เครื่องปัญจกกุธภัณฑ์
หรือเบญจราชกกุธภัณฑ์ เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์เป็นเครื่องราชอิสริยยศ ๕ สิ่งของพระมหากษัตริย์มาแต่โบราณ คือ พระมหามงกุฎ พระภูษาผ้ารัตกัมพล พระขรรค์ พระเศวตฉัตร และฉลองพระบาททองประดับแก้ว
ความหมายของเครื่องปัญจกกุธภัณฑ์หรือเบญจราชกกุธภัณฑ์
เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์เป็นเครื่องราชอิสริยยศ ๕ สิ่งของพระมหากษัตริย์มาแต่โบราณ คือ พระมหามงกุฎ พระภูษาผ้ารัตกัมพล พระขรรค์ พระเศวตฉัตร และฉลองพระบาททองประดับแก้ว
เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ล้วนมีความหมายอันเป็นมงคล ที่แสดงถึงความเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นเทพเจ้าที่ทรงอิทธิฤทธานุภาพ อุบัติมาจากสวรรค์เพื่อปราบทุกข์เข็ญให้แก่มนุษยชาติ ทั้งนี้ ดังจะพิจารณาได้จากความหมายที่บูรพาจารย์ให้ไว้ในคัมภีร์พระโลกบัญญัติ คือ
- พระมหามงกุฎ หมายถึง ยอดวิมานของพระอินทร์
- พระขรรค์ หมายถึง พระปัญญาอันจะตัดมลทิน ถ้อยความไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินให้เห็นแจ้งทั่วทั้งโลกธาตุ
- พระภูษาผ้ารัตกัมพล หมายถึง เขาคันธมาทน์อันประดับเขาพระสุเมรุราช เพราะองค์พระมหากษัตรินเปรียบเสมือนเขาพระสุเมรุราช พระเนตรข้างขวาเสมือนพระอาทิตย์ พระเนตรข้างซ้ายเสมือนพระจันทร์ ทั้งพระอาทิตย์และพระจันทร์ล้วนล่องโลกดุจพระทัยของพระองค์ในอันที่จะตัดทุกข์ภัย ในอันที่จะให้แจ้งในพระอุเบกขาบริญัติ คือให้ทรงเป็นที่พึ่งแห่งพระวินัยธรรมที่จะสั่งสอนราษฎร
- พระเศวตฉัตร เดิมแต่โบราณมาพระมหากษัตริย์ทรงประดับด้วยพระเศวตฉัตรเพียงหกชั้น อันหมายถึงสวรรค์ฉกามาพจร (สวรรค์หกชั้น) เมื่อเพิ่มพระเศวตฉัตรเป็นเก้าชั้นน่าจะหมายรวมถึงพรหมโลกด้วย
- ฉลองพระบาท หมายถึง แผ่นดินอันเป็นที่รองรับเขาพระสุเมรุราชและเป็นที่อาศัยแก่พสกนิกรทั้งหลายทั่วขอบขัณฑสีมา แผ่นดินนี้จะรุ่งเรืองอำนาจด้วยพระเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์
อย่างไรก็ดี เมื่อเพิ่มธารพระกรเข้าไปในเครื่องราชกกุธภัณฑ์ความหมายอาจเป็นไปในการทรงใช้ทศพิธราชธรรมดุจธารพระกรที่นำทางให้เกิดความสุขความเจริญรุ่งเรืองแก่ประชาชนและราชอาณาจักร
ความหมายอภิไทโภธิบาทว์
อภิไทโภธิบาทว์ในด้านโหราศาสตร์ใช้เรียกเทวดารักษาทิศทั้ง ๘ ทิศ ซึ่งตามคัมภีร์ฮินดูเรียกว่าอัษฏิกบาล ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกจะนำรูปเทวดารักษาทิศแต่ละทิศมาตั้งหรือเขียนภาพมาแขวนไว้รอบปริมณฑล เช่น รอบมณฑปพระกระยาสนาน หรือรอบพระที่นั่งอัฐทิศในแต่ละทิศ ดังนี้
- เทวดารักษาทิศบูรพา (ตะวันออก) คือ พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ๓๓ เศียร ตามพิธีไสยศาสตร์ถ้าประกอบพิธีแก้อุบาทว์จะใช้รูปเช่นเดียวกัน
- เทวดารักษาทิศอาคเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้) คือ พระเพลิงทรงระมาดเพลิง ถ้าทำพิธีแก้อุบาทว์จะใช้รูปเช่นเดียวกัน
- เทวดารักษาทิศทักษิณ (ใต้) คือ พระยมราชทรงนกแสก ถ้าทำพิธีแก้อุบาทว์จะปั้นรูปพระยมทรงกระบือ
- เทวดารักษาทิศหรดี (ตะวันตกเฉียงใต้) คือ พระนารายณ์ (วิษณุ) ทรงครุฑ ถ้าทำพิธีแก้อุบาทว์จะปั้นรูปนารายณ์ทรงครุฑ ๔ ตัว
- เทวดารักษาทิศประจิม (ตะวันตก) คือ พระพิรุณทรงพญานาค ถ้าทำพิธีแก้อุบาทว์จะปั้นพระพิรุณทรงนาค ๕ ตัว
- เทวดารักษาทิศพายัพ (ตะวันตกเฉียงเหนือ) คือ พระพาย (วายุ) ทรงม้าถือพระขรรค์และวาลวิชนี ถ้าทำพิธีแก้อุบาทว์จะปั้นรูปพระพายทรงม้า ๖ ตัว
- เทวดารักษาทิศอุดร (เหนือ) คือ พระโสมะทรงม้า ถ้าทำพิธีแก้อุบาทว์จะปั้นรูปพระโสมะประทับในบุษบก
- เทวดารักษาทิศอีสาน (ตะวันออกเฉียงเหนือ) คือ พระไพศรพณ์ทรงหงส์ ถ้าทำพิธีแก้อุบาทว์จะปั้นรูปอภิไทโภธิบาทว์เป็นพระไพศรพณ์ทรงโค
กลุ่มเทวดารักษาทิศเป็นเทวดาต่างกลุ่มกับเทวดาประจำทิศและเทวดาอัษฏเคราะห์ ได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัส พระศุกร์ พระเสาร์ และพระราหู หากเพิ่มพระเกตุด้วยจะเป็นเทวดานพเคราะห์
หญ้าคา
หญ้าคาถือเป็นพืชที่ศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่ง มีตำนานมาจากศาสนาพราหมณ์ยุคพระเวทแล้ว ด้วยเป็นหญ้าที่ได้รับน้ำอมฤตที่ได้จากการกวนเกษียรสมุทรของเทวดากับอสูร พราหมณ์จะใช้หญ้าคาเป็นเครื่องบูชาเทพเจ้าเพื่อสะเดาะห์เคราะห์ และว่าถ้าบริเวณใดประพรมน้ำมนต์ด้วยกำหญ้าคา ๓ กำซึ่งเรียกว่าไตรบัตรแล้ว จะทำให้บริเวณหรือสถานที่นั้นบริสุทธิ์ หรือถ้าเป็นคนก็จะปราศจากทุกข์ภัยและมลทินต่างๆ ดังนั้นจึงมีประเพณีของพวกพราหมณ์ว่าเมื่อจะสาธยายมนต์หรือร่ายพระเวทก็จะนั่งบนหญ้าคาและถูมือไปมาเพื่อให้ตนบริสุทธิ์
ทางพระพุทธศาสนาถือว่าหญ้าคาเป็นพืชที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ด้วยเคยใช้เป็นเครื่องปูลาดต่างอาสนะของพระพุทธเจ้ามาก่อน ดังนั้นในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกจึงมีการใช้หญ้าคาปูลาดลงบนพระที่นั่งภัทรบิฐใต้หนังราชสีห์หรือแผ่นทองคำเขียนรูปราชสีห์ ซึ่งองค์พระมหากษัตริย์จะประทับหลังจากสรงน้ำมูรธาภิเษกที่พระมณฑปพระกระยาสนานแล้ว เพื่อทรงรับพระสุพรรณบัฏ เครื่องราชกกุธภัณฑ์ และพระแสงอัษฎาวุธ อันเป็นเครื่องราชอิสริยยศจากพราหมณ์ ว่าทรงรับเป็นพระราชาธิบดี
นอกจากนี้ พบว่ายังใช้หญ้าคามาถักเป็นพระสังวาลย์พราหมณ์ อันเป็นเครื่องราชูปโภคเฉลิมพระเกียรติของพระองค์ว่าทรงอยู่ในเพศที่บริสุทธิ์แล้ว กับทั้งมีการนำหญ้าคามาถักปนกับด้ายเป็นสายสิญจน์โยงไปรอบพระมหามณเฑียรในระหว่างการประกอบพระราชพิธีด้วย
การเก็บหญ้าคามาใช้ในพิธีกรรมนั้นมิใช่จะเก็บได้ทุกเวลา แต่มีระยะเวลาเพียงวันเดียวคือวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๙ จึงจะเป็นหญ้าที่บริสุทธิ์ ใช้ได้ตลอดทั้งปี เวลาเก็บต้องร่ายเวทมนตร์ด้วย ถ้าผู้ใดได้พลีกรรมฉลองหญ้าคาในวันขึ้น ๙ ค่ำ เดือนภัทรบท คือราวเดือนตุลาคม จะได้กุศลยิ่ง เพราะจะช่วยให้สกุลวงศ์ของตนเจริญรุ่งเรืองแพร่ขยายประดุจหญ้าคา พิธีนี้เรียกว่า ทรภอัษฎมี
ต้นกล้วย
เราจะพบว่าในการเตรียมสถานที่เพื่อประกอบพิธีมงคลต่างๆ ของคนไทยทั่วทุกภาคจะมีการตกแต่งด้วยต้นไม้ ๒ ชนิด คือ ต้นกล้วยและต้นอ้อย โดยเฉพาะต้นกล้วยนั้นจะใช้ต้นกล้วยที่ตัดมาให้มีทั้งต้น ใบ และเครือ ทั้งนี้ อาจด้วยรับความเชื่อมาจากพราหมณ์ เพราะในอินเดียถือว่าต้นกล้วยที่มีเครือติดอยู่หมายความถึงความอุดมสมบูรณ์ ต้นกล้วยจัดว่าเป็นต้นไม้เก่าแก่ที่เกิดมาพร้อมกับการสร้างโลก ดังนั้นสตรีชาวอินเดียจึงมีประเพณีการบูชาต้นกล้วย ด้วยเชื่อว่าจะทำให้สามีมีชีวิตยืนยาว
ในพิธีมงคลของไทยนอกจากจะใช้ต้นกล้วยประดับหน้าบ้านแล้ว ยังนำส่วนอื่นๆ ของกล้วยมาใช้ในพิธีด้วย เช่น นำตองกล้วยน้ำมาทำบายศรีหรือกระทงใส่อาหารต่างๆ นำผลกล้วยมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เข้าเครื่องบายศรี
ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกได้นำต้นกล้วยมาประดับตามสถานที่ต่างๆ คงจะด้วยให้มีความหมายว่าเพื่อให้มีความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งก็คือมีความอุดมสมบูรณ์เป็นพื้นฐาน
ต้นอ้อย
การนำอ้อยมาใช้ประดับสถานที่ประกอบพีธีมงคลต่างๆ นั้น ท่านผู้รู้ได้ศึกษาค้นคว้าจากคัมภีร์เก่าๆ พบหลักฐานที่กล่าวถึงอ้อย จึงตีความกันว่าทำไมจึงถือว่าอ้อยเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่ง แต่บางครั้งหลักฐานต่างๆ ก็ขัดแย้งกันในประเด็นปลีกย่อย เช่นบางท่านว่าเนื่องจากอ้อยเป็นต้นไม้ของเมืองมนุษย์ ไม่มีในสวรรค์ จึงถือว่าเป็นของแปลกและหายาก ดังนั้นเมื่อจะทำพิธีบูชาเทพเจ้าก็จะนำอ้อยมาเป็นเครื่องประกอบหรือเครื่องสังเวยด้วย
บางตำรา อย่างเช่นในคัมภีร์ปุราณะ กล่าวว่าเนื่องจากต้นอ้อยเป็นเครื่องประดับแดนสวรรค์ชั่วคราวที่อยู่ในเมืองมนุษย์ ซึ่งพระฤาษีวิศวามิตรเนรมิตสร้างให้เป็นอาหารทิพย์อย่างหนึ่งแก่ท้าวตรีศังกุ ครั้นเมื่อท้าวตรีศังกุได้ขึ้นไปสถิตบนโลกสวรรค์แล้วสวรรค์ชั่วคราวในเมืองมนุษย์ก็เลิกไป เครื่องประดับต่างๆ ก็สูญหายไป แต่มีเหลือค้างอยู่อย่างหนึ่งคือต้นอ้อย จึงถือว่าต้นอ้อยเป็นต้นไม้สวรรค์ที่ประดับวิมานของเทพเจ้า ดังนั้นในการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกซึ่งถือว่าองค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมติเทพ จึงใช้ต้นอ้อยเพื่อจำลองว่าพระมหามณเฑียรคือบริเวณสวรรค์ ต่อมาเมื่อคติจีนที่ถือว่าอ้อยซึ่งมีรสหวานเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ความสดชื่น ได้แพร่เข้ามา จึงนำอ้อยมาใช้ในพิธีแต่งงานด้วย โดยจะใช้อ้อยแดงเป็นสำคัญ
ดอกหมากหรือจั่นหมาก
การประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อถึงพิธีสมโภชพระมหามณเฑียรซึ่งถือเป็นการขึ้นบ้านใหม่ขององค์พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ เครื่องมงคลอย่างหนึ่งที่เชิญประกอบพิธีในห้องพระบรรทม นอกจากแมวดำ (วิฬาร์) ศิลาบด หินโมรา กุญแจทอง ไก่ขาว ผลฟัก งา ถั่ว และดอกมะพร้าว คือดอกหมากหรือจั่นหมาก
คนไทยเป็นชาติหนึ่งที่มีประเพณีการกินหมากมาแต่โบราณกาลเช่นเดียวกับชาวอินเดีย ชาวมอญ ชาวพม่า ชาวมลายู และญวน เป็นต้น ซึ่งไม่อาจกำหนดระยะเริ่มต้นของการเกิดประเพณีนี้ได้ ด้วยเหตุดังกล่าว เชี่ยนหมากจึงถือเป็นของสำคัญยิ่งในชีวิตประจำวัน นอกจากจะเป็นเครื่องประจำตัวแล้วยังเป็นของรับแขกที่ทุกคนพอใจ เชี่ยนหมากจึงมีอยู่ทุกบ้านเรือน ตั้งแต่ขาวบ้านสามัญชนทั่วไปจนถึงขุนนาง เจ้านาย และองค์พระมหากษัตริย์ เชี่ยนหมาก หรือพานหมาก หรือพานพระศรี จึงใช้เป็นเครื่องยศอย่างหนึ่งด้วย
คติความเชื่อในการใช้ดอกหมากหรือจั่นหมากเป็นเครื่องมงคลเข้าในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอีกประการหนึ่ง คือ ดอกหมากหรือจั่นหมากน่าจะหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ เพราะดอกหมากหรือจั่นหมากมีลักษณะเป็นพวง เมื่อออกผลจะออกเป็นจำนวนมาก เรียกว่าเป็นทะลาย ดังนั้นจึงมีความหมายถึงความอุดมสมบูรณ์และความเจริญรุ่งเรือง มีทรัพย์ศฤงคารพอกพูน จัดเป็นเครื่องมงคลยิ่งอย่างหนึ่ง
ดอกมะพร้าวหรือจั่นมะพร้าว
เครื่องมงคลอีกอย่างหนึ่งที่นำมาประดับตามบริเวณมณฑลและสถานที่ต่างๆ ที่ใช้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก คือ ดอกมะพร้าวหรือจั่นมะพร้าว ทั้งนี้น่าจะด้วยเหตุผลว่ามะพร้าวเป็นพืชที่อยู่ในโลกมนุษย์ ไม่มีในโลกสวรรค์ ดังนั้นเมื่อจะทำพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการเซ่นสังเวยเทพเจ้าก็จะนำมะพร้าวส่งขึ้นไปด้วย เป็นของแปลกของหายากประการหนึ่ง กับอีกประการหนึ่ง คือ ดอกมะพร้าวหรือจั่นมะพร้าวเป็นที่เกิดของผล อันเป็นความเจริญของสรรพสิ่งทั่วไป แต่ดอกมะพร้าวหรือจั่นมะพร้าวช่อหนึ่งๆ มีหลายดอกจัดเป็นพวง เมื่อมีผลก็มีมากมาย ซึ่งเรียกว่า ทะลาย เช่นเดียวกับดอกหมากหรือจั่นหมาก จึงมีความหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ มีทรัพย์สมบัติมากมาย เป็นสัญลักษณ์อันมงคล
กุญแจทอง
การนำกุญแจทองเข้าในพิธีสมโภชพระมหามณเฑียรนั้นไม่มีคติลึกซึ้งที่ต้องตีความแต่ประการใด เพราะเป็นเรื่องธรรมดาที่บ้านต้องมีกุญแจเป็นเครื่องใช้ในการปิดประตูบ้าน การที่พระบรมวงศานุวงศ์ผู้ใหญ่ฝ่ายในทูลเกล้าฯ ถวายกุญแจแก่เจ้าของบ้านหรือพระมหากษัตริย์องค์ใหม่จึงเป็นการถวายกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของบ้านที่ตนคอยดูแลรักษาอยู่คืนแก่พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่
เมล็ดพันธุ์พืช
เมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ เช่น ข้าวเปลือก ถั่ว งา ซึ่งข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายในเชิญพานข้าวเปลือก พานถั่ว พานงา เข้าในพิธีสมโภชพระมหามณเฑียร ในการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก น่าจะเป็นคติดั้งเดิมที่นำมาประกอบในพระราชพิธี คืออาจเป็นคตินิยมของคนในชาติที่ทำเกษตรกรรมอย่างไทยเราที่ถือว่าเมล็ดพันธุ์พืชประเภทข้าวเปลือก ถั่ว งา เป็นของสำคัญในการเพาะปลูก ในการประกอบอาชีพทำมาหากิน จัดเป็นการให้ธัญญาหารเพื่อนำไปเลี้ยงชีวิตต่อไป ในชีวิตจริง ชาวบ้านทั่วไปยังนิยมนำข้าวเปลือก เมล็ดถั่ว ไปให้เพื่อนบ้านที่แยกครัวเรือนออกไปเพื่อแสดงน้ำใจที่เอื้ออาทรต่อกัน แต่ในการพระราชพิธีจะนำมาเป็นของสมโภชเพียงเล็กน้อย ถ้าจะตีความหมายก็น่าจะหมายถึงให้มีความอุดมสมบูรณ์ รุ่งเรืองในเร็ววันดุจปลูกข้าว ปลูกถั่ว ปลูกงา ที่เป็นพืชขึ้นง่าย เจริญเร็ว
พระแส้หางช้างเผือกผู้
แส้เป็นเครื่องใช้สำหรับปัดฝุ่นละอองบนที่นอนหรือตามเบาะนั่งและที่อื่นๆ ในพระราชพิธีสมโภชพระมหามณเฑียรจะมีผู้เชิญเข้าในพระราชพิธีที่ห้องพระบรรทมด้วย ซึ่งหมายถึงการให้แส้สำหรับไว้ใช้ แต่สำหรับพระมหากษัตริย์ต้องใช้สิ่งที่เป็นมงคล มีความหมายเพื่อให้สมพระบารมี เป็นการถวายพระเกียรติ แส้จึงทำด้วยหางช้างเผือกเพศผู้ เพราะคนไทยเราถือว่าช้างเผือกเป็นสัตว์ประเสริฐที่ควรคู่เฉพาะองค์พระมหากษัตริย์ที่มีบุญญาธิการเท่านั้น ดังนั้นเมื่อช้างเผือกเชือกใดล้มก็จะนำหางมาตกแต่งทำเป็นพระแส้ และนำงามาตั้งประดับ พระแส้นั้นทำขึ้นเป็นเครื่องประดับพระเกียรติยศ มิได้นำมาใช้อย่างจริงจัง
แมวหรือวิฬาร์
ตามคติโบราณของไทยที่นิยมปฏิบัติกันนั้น เมื่อผู้ใดปลูกบ้านใหม่เสร็จและจะย้ายเข้าไปอยู่จะต้องมีคนอุ้มแมวนำเข้าไป จากนั้นให้เจ้าของบ้านตามขึ้นไป เหตุผลที่ทำเช่นนี้ก็มีผู้ให้ข้อคิดต่างๆ ไป บ้างว่าเนื่องจากเป็นการขึ้นบ้านใหม่จึงต้องมีแมวไว้จับหนู บ้างก็ว่าความเชื่อของจีนโบราณกล่าวว่าแมวเป็นสัตว์ที่ขับไล่ภูตผีปีศาจหรือสิ่งชั่วร้าย เพราะแมวมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดในที่มืดหรือเวลากลางคืน และเป็นสัตว์ที่ให้โชคลาภด้วย ดังที่คนไทยเราเคยเชื่อว่าแมวหมามาสู่จะมีลาภ และแมวที่อุ้มขึ้นไปก็มีหลายอย่าง บ้างว่าเป็นสีขาว บ้างว่าเป็นสีเทา (สีสวาด) บ้างว่าเป็นชนิดลายเพราะคล้ายเสือจะได้มีอำนาจเป็นที่เกรงกลัว ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเฉลิมพระราชมณเฑียร ท่านเสฐียรโกเศศว่าเคยเห็นเป็นแมวสีดำ แต่แมวที่เข้าพระราชพิธีนี้ต้องเป็นแมวคราว และต้องนำมาทาแป้งแต่งตัวลูบไล้ด้วยน้ำหอมให้ทั่ว เมื่อได้ฤกษ์จะอุ้มแมววางลงบนฟูกนอนแล้วกล่าวถ้อยคำให้พรที่ดี จะทำให้เจ้าของบ้านอยู่เย็นเป็นสุข มีโชคมีลาภทรัพย์สินเพิ่มพูน
อย่างไรก็ดี จากจดหมายเหตุของไทยเรา มีการอุ้มวิฬาร์ (แมว) เข้าในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเฉลิมพระมหามณเฑียร ก็น่าจะมีความหมายเพื่อให้โชคดี มีลาภ ให้อยู่เย็นเป็นสุข ตลอดจนขับไล่ภูตผีปีศาจหรือสิ่งชั่วร้ายต่างๆ และตามความเชื่อดั้งเดิมที่กล่าวว่าแมวมีเก้าชีวิต ซึ่งหมายถึงความยั่งยืนสถาพรหรือความเป็นอมตะ
ไก่ขาว
พบว่าในบันทึกพระราชพิธีบรมราชาภิเษก มีการนำไก่ขาวเข้าในพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียรในรัชกาลพระบามสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จึงก่อให้เกิดข้อกังขาว่าเป็นคติความเชื่อที่เกิดขึ้นได้อย่างไร ท่านผู้รู้บางท่านกล่าวว่าน่าจะเป็นประเพณีโบราณของไทย ซึ่งเพื่อนบ้านต้องการช่วยเหลือเจ้าของบ้านที่สร้างครอบครัวใหม่ให้มีไก่ไว้ขันบอกโมงยามและเลี้ยงไว้กินไข่ อันเป็นสิ่งจำเป็นแก่ชีวิตประจำวันอย่างหนึ่งนอกเหนือจากเครื่องใช้ในครัวเรือนหรือสัตว์เลี้ยงที่มามอบให้แก่ผู้ที่ตั้งครัวเรือนใหม่ซึ่งปัจจุบันก็ยังเห็นได้ การที่พระมหากษัตริย์องค์ใหม่เฉลิมพระราชมณเฑียรก็คล้ายกับทรงตั้งครอบครัวของพระองค์ใหม่ จึงมีการอุ้มไก่เข้าในพระราชพิธีด้วย อย่างไรก็ดีตาม ความเชื่อของจีนถือว่าไก่ตัวผู้เป็นเครื่องหมายแสดงถึงความอบอุ่นและความมีชีวิตที่มีพลังจากจักรวาล ถ้าเป็นไก่สีแดงจะป้องกันไฟ ส่วนไก่สีขาวจะขับไล่สิ่งชั่วร้ายและภูตผีต่างๆ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเราอาจนำความเชื่อทั้งสองอย่างนี้มาผสมผสานกัน
ศิลาบด
ศิลาบดหรือหินบดตามคติของอินเดียนั้นถือเป็นของใช้ในครัวเรือนเช่นเดียวกับครกในปัจจุบัน คนไทยเราแต่เดิมก็คงใช้หินบดไปพร้อมๆ กับครก เพราะยังพบหลักฐานอยู่มากตามแหล่งโบราณคดี ปัจจุบันพวกเชื้อสายอินเดียทั้งในอินเดียและมาเลเซียก็ยังบดเครื่องแกงและเครื่องปรุงอาหารต่างๆ ด้วยหินบดกันอยู่ ดังนั้นการนำศิลาบดเข้าพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียรก็น่าจะเป็นคติที่มีการมอบเครื่องครัว พันธุ์พืช เป็นการแสดงความยินดีในการขึ้นเรือนใหม่
อย่างไรก็ดี พบว่ามีคำให้พรว่า “ให้อยู่เย็นเป็นสุขดังอุทกธาราและฟัก ให้มีน้ำใจหนักหน่วงดุจศิลา ขอให้ถั่วงางอกงามบริบูรณ์” ซึ่งศิลาในที่นี้ก็ใช้ศิลาบดหรือหินบด
นอกจากนี้ ยังมีคำให้พรบ่าวสาวของเก่าอยู่บทหนึ่งว่า “ให้เย็นเหมือนฟัก ให้หนักเหมือนแฟง ให้อยู่เรือนเหมือนก้อนเส้า ให้เฝ้าเรือนเหมือนแมวคราว” เดิมของที่เข้าในพิธีแต่งงานและขึ้นเรือนใหม่น่าจะใช้ก้อนเส้าจริงๆ ก้อนเส้าเป็นหินที่นำมาทำเป็นเตาไฟก่อนจะพัฒนามาเป็นเตา แต่เข้าใจว่าก้อนเส้าคงจะเปื้อนเลอะเทอะจึงใช้หินแทน แล้วก็เลยกลายมาเป็นหินบด ในอินเดียบางท้องถิ่นพบว่ามีการนำหินบดเข้าในพิธีแต่งงานด้วยเช่นกัน
ไม้อุทุมพรหรือมะเดื่อ
ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตั่งไม้ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประทับเพื่อสรงมูรธาภิเษก ตลอดจนพระมณฑป พระที่นั่งอัฐทิศ และพระที่นั่งภัทรบิฐ ล้วนทำด้วยไม้อุทุมพรหรือไม้มะเดื่อ หรือบางครั้งเรียกว่าไม้มะเดื่อชุมพรบ้าง มะเดื่อทุมพรบ้าง การใช้ไม้มะเดื่อทำพระที่นั่งสำหรับอภิเษกผู้เป็นพระมหากษัตริย์น่าจะได้รับความเชื่อจากพราหมณ์ ซึ่งกล่าวว่าไม้มะเดื่อเป็นที่ประทับของเทพเจ้าตรีมูรติ อันเป็นเทพซึ่งรวมเทพเจ้าที่สำคัญทั้งสามองค์ของฮินดู คือ พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ เป็นองค์เดียวกัน ดังนั้นการนำไม้มะเดื่อมาทำเป็นพระที่นั่งสำหรับพระมหากษัตริย์อาจมาจากความเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นสมมติเทพ
ในตำนานของพระพุทธศาสนากล่าวว่าพระโกนาคมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นอดีตพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ทรงตรัสรู้ที่ใต้ต้นมะเดื่อนี้
ดังนั้นไม้มะเดื่อจึงมีความสำคัญทั้งทางศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู จึงถือว่าเป็นไม้เฉพาะผู้เป็นพระมหากษัตริย์เท่านั้น
มะตูม
ใบมะตูมหรือเวฬุ เป็นใบไม้ที่ใช้ประกอบพิธีมงคลต่างๆ เสมอ โดยเฉพาะในการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยพราหมณ์จะมอบให้ผู้เข้ารับน้ำอภิเษกใช้กันเสนียดจัญไร ขับภูตผีปีศาจได้ ความเชื่อในศาสนาฮินดูหรือศาสนาพราหมณ์ใน
ไศวนิกาย (พวกที่นับถือพระศิวะเป็นใหญ่) เชื่อว่ามะตูมเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของ
พระอิศวร เมื่อบูชาพระอิศวรจึงต้องใช้ใบมะตูม
นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าใบมะตูมที่มีลักษณะเป็นสามแฉกเป็นเครื่องหมายของ
ตรีมูรติ ซึ่งหมายถึงเทพเจ้าที่สำคัญทั้งสามองค์ของฮินดู ได้แก่ พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ สำหรับวิษณุนิกาย (พวกที่นับถือพระวิษณุหรือพระนารายณ์เป็นใหญ่) เชื่อว่าต้นมะตูมเกิดจากตรีอาวุธของพระวิษณุ (พระนารายณ์) เมื่อครั้งที่ทรงไปปราบช้างเอกทนต์
ข้าวตอก
ข้าวตอกทำจากข้าวที่หุงแล้ว นิยมนำมาใช้ในพิธีมงคลต่างๆ ในประเทศที่ปลูกข้าวเพื่อใช้เป็นอาหารหลักเช่นประเทศไทยเรา โดยทั่วไปถือว่าข้าวเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ด้วยมีบุญคุณและเป็นพืชที่มีเทวดารักษาหรือคุ้มครอง คือ เจ้าแม่โพสพ ดังนั้นจึงห้ามเหยียบข้าวหรือนั่งบนรวงข้าว
ในอินเดียมีประเพณีอย่างหนึ่งที่นำข้าวมาเกี่ยวข้อง คือ ในการประกอบพิธีอันเป็นมงคลจะอำนวยพรกันโดยใช้ข้าวสารย้อมสีด้วยขมิ้นซึ่งจะมีสีเหลืองและย้อมด้วยชาดที่มีสีแดงโปรยไปด้วย ส่วนในไทยเราพบว่าในทางไสยศาสตร์จะใช้ข้าวสารสาดไล่ผีหรือปัดรังควาน ในพิธีแต่งงานหรือการมงคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิธีเนื่องในราชสำนัก เมื่อจะอำนวยพรจะโปรยข้าวตอกดอกไม้ กล่าวว่าเป็นเครื่องหมายของความเจริญงอกงาม ความคิดนี้อาจได้แบบอย่างมาจากอินเดีย เพราะธรรมเนียมโบราณของอินเดียมีว่าเมื่อจะรับเสด็จพระมหากษัตริย์จะโปรยข้าวตอกดอกไม้ แม้ในปัจจุบันเมื่อจะต้อนรับบุคคลสำคัญก็ยังนิยมโปรยข้าวตอกดอกไม้อยู่เช่นเดิม เช่นเดียวกับในราชอาณาจักรไทย
มะม่วง
มะม่วงเป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งใน ๓ ชนิดที่นำใบมาใช้เป็นใบไม้สมิทธในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่พราหมณ์จะทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อทรงใช้ปัดพระวรกาย โดยใช้ ๒๕ ใบ เชื่อว่าเพื่อปัดภยันตราย เพราะตามคติฮินดูเชื่อว่ามะม่วงเกิดที่เขาไกรลาส และว่าเป็นภาคหนึ่งของพระพรหม จึงถือว่ามะม่วงเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่ง ดังนั้นจึงนำส่วนต่างๆ ของมะม่วง โดยเฉพาะใบ มาใช้ในพิธีมงคล
ดอกพิกุล
ดอกพิกุลเป็นดอกไม้ขนาดเล็กที่มีกลิ่นหอมเย็นทั้งเมื่อยังสดและแห้ง คนไทยจึงถือว่าเป็นดอกไม้ที่วิเศษ ในภาษาบาลี เรียกว่า ปกุล ในการประกอบพระราชพิธีต่างๆ ในราชสำนักของไทยนิยมทำดอกพิกุลทอง ดอกพิกุลเงิน ให้องค์ประธานโปรยระหว่างประกอบพระราชพิธีเสมอ เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีโสกันต์ พระราชพิธีลงสรง ทั้งนี้ อาจเป็นด้วยความเชื่อว่าเจ้านายผู้เป็นองค์ประธานอยู่ในสภาวะสมมติเทพที่อุบัติลงมาจากสวรรค์ บริเวณพระบรมมหาราชมณเฑียรถือว่าเป็นดุจสวรรค์ อุทยานต่างๆ จึงปลูกต้นไม้สวรรค์ เช่น ต้นพิกุล อันเป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งในสวนของพระอินทร์ ในระหว่างประกอบพระราชพิธีจึงมีการโปรยดอกพิกุลซึ่งเปรียบเหมือนดอกไม้สวรรค์ที่องค์สมมติเทพทรงโปรยลงมาให้มนุษย์ได้ชื่นชม
อนึ่ง ดอกพิกุลมีกลีบมากคล้ายดอกเบญจมาศของจีน จึงอาจมีการผสมผสานความคิดที่เป็นมงคลว่าเป็นดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ และนำมาโปรยในงานพระราชพิธีดังกล่าวเพื่อให้สิ่งที่เป็นมงคลในพระราชพิธีด้วยก็เป็นได้
และเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ
แห่งพระมหากษัตริย์ที่พระที่นั่งภัทรบิฐ พระราชครูวามเทพมุนี เมื่อร่ายเวทสรรเสริญไกรลาสแล้วได้กราบบังคมทูลด้วยภาษามคธเฉลิมพระปรมาภิไธยถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์และเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ซึ่งมีหลายอย่างที่ทรงรับแล้วทรงสวมหรือวางไว้บนโต๊ะเคียงพระที่นั่งภัทรบิฐ ส่วนพระแสงต่างๆ
การทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ และเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศแห่งพระมหากษัตริย์ที่พระที่นั่งภัทรบิฐ
พระราชครูวามเทพมุนี เมื่อร่ายเวทสรรเสริญไกรลาสแล้วได้กราบบังคมทูลด้วยภาษามคธเฉลิมพระปรมาภิไธยถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์และเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ซึ่งมีหลายอย่างที่ทรงรับแล้วทรงสวมหรือวางไว้บนโต๊ะเคียงพระที่นั่งภัทรบิฐ ส่วนพระแสงต่างๆ ทรงรับแล้วพระราชทานให้ผู้เชิญรับไปเชิญไว้เบื้องหลังพระที่นั่งภัทรบิฐ สำหรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์และเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศที่ทรงรับแล้วทรงสวมหรือวางไว้บนโต๊ะเคียง มีดังนี้
- พระสุพรรณบัฏ ทรงรับแล้วพระราชทานให้พระยามหานามราชเชิญไว้
- พระสังวาลย์พราหมณ์ธุรำ ทรงรับแล้วทรงสวมพระองค์เฉียงซ้าย
- พระสังวาลย์นพรัตนราชวราภรณ์ ทรงรับแล้วทรงสวมพระองค์เฉียงขวา
- พระสังวาลย์พระนพ ทรงรับแล้วทรงสวมพระองค์เฉียงขวา
- พระมหาพิชัยมงกุฎ ทรงรับแล้วทรงสวม
- พระแสงขรรค์ชัยศรี ทรงรับแล้วทรงวางบนโต๊ะเคียงพระที่นั่งภัทรบิฐเบื้องซ้าย
- ธารพระกร ทรงรับแล้วทรงวางบนโต๊ะเคียงพระที่นั่งภัทรบิฐเบื้องขวา
- พัดวาลวิชนี ทรงรับแล้วทรงวางบนโต๊ะเคียงพระที่นั่งภัทรบิฐเบื้องขวา
- พระแส้จามรี ทรงรับแล้วทรงวางบนโต๊ะเคียงพระที่นั่งภัทรบิฐเบื้องซ้าย
- พระแส้หางช้างเผือก ทรงรับแล้วทรงวางบนโต๊ะเคียงพระที่นั่งภัทรบิฐเบื้องซ้าย
- พระธำมรงค์วิเชียรจินดา ทรงรับมาสวม
- พระธำมรงค์รัตนวราวุธ ทรงรับมาสวม
- ฉลองพระบาทเชิงงอน พระราชครูวามเทพมุนีสอดถวาย
- พระสุพรรณศรีบัวแฉก ผู้เชิญเชิญไปตั้งบนโต๊ะเคียงพระที่นั่งภัทรบิฐเบื้องขวา
- พานพระขันหมาก ผู้เชิญเชิญไปตั้งบนโต๊ะเคียงพระที่นั่งภัทรบิฐเบื้องขวา
- พระมณฑป ผู้เชิญเชิญไปตั้งบนโต๊ะเคียงพระที่นั่งภัทรบิฐเบื้องซ้าย
- พระเต้าทักษิโณทก ผู้เชิญเชิญไปตั้งบนโต๊ะเคียงพระที่นั่งภัทรบิฐเบื้องซ้าย