“ Democracy in Siam ” พระราชปณิธานเรื่องระบอบประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวปรากฏชัดเจนในพระราชบันทึกที่มีชื่อว่า " Democracy in Siam "
พระราชบันทึก " Democracy in Siam "
พระราชปณิธานเรื่องระบอบประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ปรากฏชัดเจนในพระราชบันทึกที่มีชื่อว่า “Democracy in Siam” มีความยาว ๓ หน้ากระดาษ พระราชทานมายังคณะกรรมการจัดระเบียบองคมนตรี ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๐ กรรมการชุดนี้ได้แก่
สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงเป็นประธาน พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร หม่อมเจ้าดำรัสดำรงค์ เทวกุล เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) พระยาสุรินทราชา (นกยูง วิเศษกุล) พระยาจินดาภิรมย์ (จิตร ณ สงขลา) พระยาเทพวิทุรพหุลศรุตาบดี (บุญช่วย วณิกกุล) พระยาโกมารกุลมนตรี (ชื่น โกมารกุล ณ นคร)
การที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชบันทึก “Democracy in Siam” เป็นผลสืบเนื่องมาจากหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร กรรมการท่านหนึ่งทรงมีหนังสือกราบทูลสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งเป็นประธานกรรมการว่า กรรมการองคมนตรีที่จะปรับปรุงใหม่ควรเป็น Advisory หรือ Consultative body ซึ่งที่ประชุมเห็นควรเป็น Consultative แต่หม่อมเจ้าสิทธิพรในฐานะเสียงข้างน้อยเห็นว่าควรเป็น Advisory จึงขอพระวินิจฉัยว่า “จะทรงกรุณานำความกราบบังคมทูลหรือจะทรงเห็นว่ามีมูลพอควรนำขึ้นปฤกษาอีกครั้งหนึ่ง” ผลปรากฏว่าได้ทรงนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชบันทึกฉบับนี้ลงมา ซึ่งนอกจากจะทรงแสดงพระราชดำริในเรื่องที่กราบบังคมทูลแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงพระราชดำริเกี่ยวกับเหตุผลและความจำเป็นที่จะต้องเตรียมการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยในประเทศสยามด้วย ทั้งนี้ อาจเป็นพระราชประสงค์ที่จะให้คณะกรรมการได้ทราบถึงแนวพระราชดำริทางการเมืองของพระองค์นั่นเอง
พระราชดำริที่จะปรับปรุงการปกครองท้องถิ่นให้เป็นเทศบาล
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริที่จะปรับปรุงการปกครองท้องถิ่นให้เป็นแบบเทศบาล เพื่อให้เป็นพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่ต้นรัชกาล พระราชดำรินี้ปรากฏอย่างชัดเจนในพระราชบันทึก " Democracy in Siam " ดังนี้
"ขั้นต่อไปในการศึกษาของเราเพื่อไปสู่ระบอบประชาธิปไตยจะเป็นการจัดตั้งเทศบาลขึ้นในที่ต่างๆ การนี้จะเป็นปัจจัยที่จะสอนให้ประชาชนรู้จักใช้สิทธิเลือกตั้ง และการทดลองนี้ก็จะเป็นประโยชน์และเป็นการให้ความรู้ไปในตัว จะเป็นการดีกว่าในการที่จะให้ประชาชนได้รู้จักเข้าควบคุมกิจการท้องถิ่นด้วยตนเองก่อนที่เขาจะพยายามที่จะควบคุมราชการแผ่นดินโดยผ่านรัฐสภา ข้าพเจ้าเชื่ออย่างจริงใจว่า ถ้าหากการปฏิรูปนี้ค่อยๆ นำเอามาใช้ตามวิธีนี้ การปกครองระบอบประชาธิปไตยก็อาจนำมาใช้ได้ต่อไปโดยไม่มีอันตรายมากนัก แต่การกระทำนั้นจะต้องค่อยเป็นค่อยไป เหมือนกับการให้ยาที่กำหนดปริมาณของยาแล้วอย่างรอบคอบแต่ละครั้ง ถ้าหากว่าการทดลองเหล่านี้ล้มเหลวทุกขั้นตอนก็อาจทำให้ประชาชนแลเห็นความจริงได้ในที่สุดว่า ระบอบประชาธิปไตยนั้นมิใช่ระบอบการปกครองสำหรับประเทศสยาม อันตรายนั้นอยู่ที่ความใจร้อนรีบทำ "
พระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวประการนี้ยังผลให้เกิดร่างพระราชบัญญัติเทศบาลขึ้น โดยกระทรวงมหาดไทยได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายในวันที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๓ และทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำเข้าพิจารณาในที่ประชุมเสนาบดีสภา เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๓ ที่ประชุมยังไม่เห็นด้วยกับหลักการบางประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณสมบัติของผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ที่ถือเกณฑ์ทรัพย์สินและการมีภูมิลำเนาในกรุงสยามไม่น้อยกว่า ๑๕ ปี อันจะทำให้ชาวต่างประเทศ เช่น จีน และฝรั่งมีสิทธิทางการเมืองมากกว่าคนไทย เรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญจึงโปรดเกล้าฯ ให้กรมร่างกฎหมายพิจารณาตรวจทำบันทึกความเห็นในส่วนหลักการกับกฎหมายของประเทศเอกราช เช่น ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ทูลเกล้าถวายฯ ขึ้นมาก่อนตั้งแต่วันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๓ แต่กรมร่างกฎหมายพิจารณาไม่แล้วเสร็จ และผัดผ่อนมาโดยตลอด จนกระทั่งเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ ณ ที่นี้ได้นำเอกสารบางส่วนที่เกี่ยวข้องมาแสดง นับตั้งแต่ร่างหนังสือที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทูลสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น (๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๙) ให้เตรียมดำเนินการเรื่องเทศบาลจนกระทั่งถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ อันเป็นเดือนสุดท้ายของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เอกสารทั้งหมดโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชกระแสที่พระราชทานลงมาในโอกาสต่างๆ แสดงให้เห็นถึงความเป็นนักประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างปราศจากข้อสงสัย
แนวพระราชดำริทางการเมืองของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในประการแรกนี้ กล่าวโดยสรุปคือ การพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างมีแผน โดยคำนึงถึงสภาพความเป็นจริงของสังคมไทยในขณะนั้น ทรงมีพระราชดำริเห็นว่า การที่จะให้ระบอบประชาธิปไตยหยั่งรากลึกในอนาคตนั้น ก่อนอื่นจะต้องให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจระบอบการเมืองการปกครอง โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมและมีความคุ้นเคยกับการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่นเสียก่อน มิฉะนั้นแล้ว การปกครองระบอบประชาธิปไตยจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก พระราชดำริในข้อนี้อาจมีผู้แสดงความเห็นคัดค้านขึ้นว่าหากประชาชนชาวไทยไม่ได้มีความสำนึกทางการเมืองหรือมีความตื่นตัวทางการเมืองแล้วการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าพิจารณาให้ถ่องแท้จะเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองในครั้งนั้นเกิดขึ้นจากบุคคลคณะหนึ่งซึ่งเรียกตนเองว่า " คณะราษฎร " มิใช่ เพราะประชาชนชาวไทยมีความตื่นตัวทางการเมือง ตรงกันข้ามประชาชนมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นน้อยมาก พันเอก พระยาทรงสุรเดช ผู้เป็นบุคคลสำคัญของคณะราษฎร ผู้วางแผนยึดอำนาจในวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ได้กล่าวภายหลังจากที่ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว ๗ ปี ว่า
" แม้ทุกวันนี้ (พ.ศ. ๒๔๘๒) ราษฎรก็ไม่กระจ่างแจ้งในเรื่องระเบียบการปกครอง ทั้งที่โฆษณาและมีคนไปชี้แจงให้ฟังเสมอๆ อย่าว่าแต่ราษฎรชาวนาเลย แม้พวกข้าราชการเองก็ยังมีจำนวนไม่น้อยที่ไม่เข้าใจวิธีปกครอง เพราะฉะนั้น จึงเกือบกล่าวได้ว่า เมื่อก่อนปฏิวัติคนไทยรู้จักการปกครองวิธีเดียวเท่านั้น ยกเว้นส่วนน้อยเหลือเกิน ความไม่เข้าใจและความไม่เอาใจใส่ของราษฎร เราเห็นได้ถนัดเมื่อวันประกาศรัฐธรรมนูญที่พระที่นั่งอนันต์ฯ วันที่ ๒๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๗๕ ต้องต้อนราษฎรให้เข้าไปฟังในพระที่นั่งกันเสียแทบแย่ และก็ได้จำนวนราษฎรสักหยิบมือเดียวไปยืนฟังโดยไม่รู้เรื่องอะไร หากมีละครให้ดู และมีเจ๊กก๋วยเตี๋ยวด้วยแล้ว คนจะไปมากกว่านั้นมาก "
ภายหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว คณะราษฎรเองได้เล็งเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการปกครองท้องถิ่นในรูปของเทศบาล ด้วยเห็นว่าการปกครองท้องถิ่นนอกจากจะเป็นการเปิดโอกาสให้ ท้องถิ่นต่างๆ จัดทำบริการในท้องถิ่นด้วยตนเองแล้ว ยังมีความมุ่งหมายที่จะให้เป็นรากฐานแห่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย และปลูกฝังให้ราษฎรมีความเข้าใจในคุณประโยชน์ของการปกครองในระบอบรัฐสภาด้วย ดังคำแถลงของหลวงประดิษฐ์มนูธรรมต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถึงความสำคัญ และความจำเป็น ที่ต้องมีร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๗๖ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ตอนหนึ่งว่า
" เพื่อให้ราษฎรได้รู้จักวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามไปในตัว คือ ราษฎรจะได้ฝึกการปกครองในตำบลย่อมๆ ของตน และเพื่อประโยชน์แก่การที่จะเข้ามาเป็นผู้แทนราษฎรในสภานี้ต่อไป "
จะเห็นได้ว่า คำแถลงข้างต้นนี้คล้ายคลึงกับข้อความในพระราชบันทึก " Democracy in Siam " ที่ว่าการจัดตั้งเทศบาล " จะเป็นปัจจัยที่จะสอนให้ประชาชนรู้จักใช้สิทธิเลือกตั้ง และการทดลองนี้ก็จะเป็นประโยชน์ และเป็นการให้ความรู้ไปในตัว จะเป็นการดีกว่าในการที่จะให้ประชาชนได้รู้จักเข้าควบคุมกิจการท้องถิ่นด้วยตนเองก่อนที่เขาจะพยายามที่จะควบคุมราชการแผ่นดินโดยผ่านรัฐสภา "
หากนำพระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พ.ศ. ๒๔๗๖ ไปเปรียบเทียบกับร่างพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๗๓ ซึ่งเป็นร่างในสมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองก็จะเห็นได้ว่าหลักการสำคัญๆ ไม่ได้มีความแตกต่างกัน จะต่างกันบ้างเฉพาะในประเด็นปลีกย่อยเท่านั้น ทั้งนี้ ด้วยเหตุผลหลายประการ เหตุผลที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็นการที่ผู้ยกร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พ.ศ. ๒๔๗๖ บางคนได้เคยเป็นผู้ยกร่างพระราชบัญญัติเทศบาลในสมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หม่อมเจ้าสกลวรรณากร วรวรรณ ทรงเป็นประธานยกร่างพระราชบัญญัติเทศบาลในสมัย ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง มาเป็นผู้ยกร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๗๖ ด้วยผู้หนึ่ง
พระราชดำริที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริในเรื่องรัฐธรรมนูญ รัชสมัยของพระองค์ในช่วงก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองได้มีการร่างรัฐธรรมนูญ ๒ ฉบับ นับเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่พระมหากษัตริย์เป็นผู้ดำริในเรื่องของการปกครองระบอบพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy)
- ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรก เป็นร่างของพระยากัลยาณไมตรี (Dr. Francis B. Sayre) ร่างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๖๙
- ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ ๒ ร่างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๗๔ โดย นายเรมอนด์ บี. สตีเวนส์ (Raymond B. Stevens) ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศ และพระยาศรีวิสารวาจา (เที่ยนเลี้ยง ฮุนตระกูล) ปลัดทูลฉลองกระทรวงการต่างประเทศ
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกนั้น สืบเนื่องมาจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงพระยากัลยาณไมตรี เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ ระหว่างที่พระยากัลยาณไมตรีเยือนประเทศไทยและพักอยู่ที่โฮเต็ลพญาไท พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้ หัวเรื่องว่า “Problems of Siam” ประกอบด้วยพระราชปุจฉา ๙ ข้อ เกี่ยวกับสภาพการณ์ทางการเมืองที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ในตอนต้นรัชกาล พระราชปุจฉา ๒ ข้อแรก เป็นปัญหาการสืบราชสมบัติ และจะมีมาตรการอะไรเพื่อที่จะแน่ใจได้ว่าบุคคลที่จะขึ้นครองราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อๆ ไปจะเป็นบุคคลที่มีความสามารถ ข้อที่ ๓ และ ๔ ทรงขอคำปรึกษาพระยากัลยาณไมตรีว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะเปลี่ยนรูปแบบการปกครองเป็นแบบรัฐสภา ประกอบด้วย ผู้แทนของปวงชน ข้อที่ ๕ บทบาทของอภิรัฐมนตรีสภา ข้อที่ ๖ และ ๗ ทรงปรึกษาว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ที่ประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติ สำหรับพระราชปุจฉา ๒ ข้อสุดท้าย เป็นปัญหาการเงินการคลังของประเทศ และปัญหาการกลืนกลายชาวจีน ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีจำนวนมากที่สุดในประเทศได้อย่างไร
พระยากัลยาณไมตรีได้ตอบพระราชปุจฉาทุกข้อ เว้นแต่ข้อสุดท้ายในเรื่องปัญหาชาวจีนโดยออกตัวว่า คงจะต้องทำการศึกษาในเรื่องดังกล่าวให้มากกว่านี้ ก่อนที่จะสามารถแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ได้ พระยากัลยาณไมตรียังได้ทูลเกล้าฯ ถวายร่างรัฐธรรมนูญฉบับสั้นๆ ๑๒ มาตรา แสดงถึงโครงสร้างของรัฐบาลที่ควรจะเป็นตามความเห็นของพระยากัลยาณไมตรี โดยใช้ชื่อว่า " Outline of Preliminary Draft "
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงส่งบันทึกความเห็นทั้งของพระองค์และของพระยากัลยาณไมตรีไปยังสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ สมาชิกอภิรัฐมนตรีสภา เพื่อขอพระดำริ เข้าใจว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวน่า จะส่งบันทึกความเห็นดังกล่าวไปให้สมาชิกอภิรัฐมนตรีสภาพระองค์อื่นๆ เพื่อขอพระดำริด้วย เพราะโดยปกติแล้วพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมักจะทรงขอคำวินิจฉัยจากสมาชิกอภิรัฐมนตรีสภาในประเด็นที่สำคัญๆ ทุกครั้ง แต่ยังไม่พบหลักฐานที่เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าทรงขอคำปรึกษาสมาชิกอภิรัฐมนตรีสภาอื่นๆ นอกเหนือไปจากสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงแสดงความคิดเห็นต่อความเห็นของพระยากัลยาณไมตรีแต่เพียงประการเดียว คือ ข้อเสนอที่จะให้มีนายกรัฐมนตรี และให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจแทนพระมหากษัตริย์ ซึ่งทรงไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ ๒ เป็นเค้าโครงของรัฐธรรมนูญ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้นายเรมอนด์ บี สตีเวนส์ (Raymond B. Stevens) ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศ และพระยาศรีวิสารวาจา ปลัดทูลฉลองกระทรวงการต่างประเทศร่วมกันร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งยกร่างแล้วเสร็จในวันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๔ เป็นเวลาก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เพียง ๓ เดือนเศษเท่านั้น (ขณะนั้นวันที่ ๑ เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่) ร่างรัฐธรรมนูญนี้เป็นภาษาอังกฤษ มีชื่อว่า “An Outline of Changes in the Form of Government” มีความยาว ๕ หน้ากระดาษพิมพ์ แม้จะไม่ได้ใช้ชื่อว่ารัฐธรรมนูญ แต่โดยเนื้อหาแล้วก็มีลักษณะเป็นรัฐธรรมนูญ เพราะได้กำหนดรูปแบบการปกครอง ความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจบริหารและนิติบัญญัติ ตลอดจนวิธีการเลือกตั้งและแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
โครงสร้างการปกครองตามร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้อยู่ในรูปของระบบรัฐสภา ในทางทฤษฎีพระมหากษัตริย์ยังคงเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารและเป็นผู้มีอำนาจในทางนิติบัญญัติ ในฐานะที่ทรงเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารจะทรงใช้อำนาจดังกล่าวผ่านทางนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบต่อพระมหากษัตริย์ และในขณะเดียวกันก็อยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายนิติบัญญัติด้วย ในฐานะที่ทรงมีอำนาจทางนิติบัญญัติ พระองค์จะทรงใช้อำนาจดังกล่าวผ่านทางสภานิติบัญญัติ ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกจำนวนไม่เกิน ๗๕ คน และไม่น้อยกว่า ๕๐ คน ซึ่งตามข้อเสนอจะมาจากการแต่งตั้งครึ่งหนึ่ง และเลือกตั้งอีกครึ่งหนึ่ง
อย่างไรก็ตามทั้งนายเรมอนด์ บี สตีเวนส์ และพระยาศรีวิสารวาจาต่างก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ นายสตีเวนส์ ได้ยืมคำพูดของลอร์ด เบคอน (Lord Bacon) เป็นข้ออ้างว่า ไม่ควรทดลองใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้จนกว่าจะประจักษ์ชัดว่า " มีความจำเป็นเร่งด่วนหรือมีคุณประโยชน์ที่ชัดเจน "
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ พสกนิกรของพระองค์ ในวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕ วันสถาปนาราชวงศ์จักรีครบ ๑๕๐ ปี แต่เมื่อถึงวันดังกล่าวก็มิได้มีการพระราชทานรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยามหิธร เสนาบดีกระทรวงมุรธาธร ส่งร่างรัฐธรรมนูญพร้อมทั้งบันทึกความเห็นของเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ นายเรมอนด์ บี. สตีเวนส์ และพระยาศรีวิสารวาจา ไปยังสมาชิกอภิรัฐมนตรี ในวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๔๗๔ เพื่อจะได้พิจารณาปรึกษาในที่ประชุมอภิรัฐมนตรี จากบันทึกลับวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๔๗๕ หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเพียง ๖ วัน และเป็นวันซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้บุคคลสำคัญของคณะราษฎรเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ วังศุโขทัย ได้แก่
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์)
พระยาศรีวิสารวาจา (เที่ยนเลี้ยง ฮุนตระกูล)
พระยาปรีชาชลยุทธ (วัน จารุภา)
พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)
หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์)
เจ้าพระยามหิธร (ลออ ไกรฤกษ์) ราชเลขาธิการ เป็นผู้จด
ทำให้ทราบว่า ที่ประชุมอภิรัฐมนตรีสภาไม่เห็นด้วยกับการพระราชทานรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจตกต่ำ บันทึกฉบับนี้ยังทำให้ทราบต่อไปว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงไม่ละความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริหารประเทศ ดังจะเห็นได้จากข้อความตอนหนึ่งในบันทึกว่า
" ถึงกระนั้นก่อนเสด็จไปหัวหิน ก็ได้ทรงพระราชดำริอีกที่จะให้มี Prime Minister ให้มีสภา Interpellate เสนาบดีได้ให้ถวายฎีกาขอเปลี่ยนเสนาบดีได้ และให้มีผู้แทนจากหัวเมือง แต่ว่าแต่ละอย่างๆ จะเป็นได้ก็ลำบากเหลือเกิน หวังว่าจะเห็นด้วยว่าพระองค์ยากที่จะขัดผู้ใหญ่ที่ได้ทำการมานานตั้ง ๒๐ ปีก่อนพระองค์
แปลนที่ ๒ คิดจะให้เสนาบดีมุรธาธร Preside เป็นประธานในที่ประชุมเสนาบดี พระองค์จะไม่ประทับในที่ประชุม และขยายจำนวนกรรมการองคมนตรี ทำหน้าที่อย่างรัฐสภา ได้ทรงเตรียมไว้ ๒ แปลนอย่างนี้ เอาติดพระองค์ไปหัวหินด้วย เพื่อจะทำ memo บันทึกเสนอเสนาบดีสภา ครั้นได้ข่าวเรื่องนี้ก็ปรากฏว่าช้าไปอีก "
ทั้งนี้ ในขณะเสด็จประทับที่หัวหิน เช้าตรู่วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ คณะราษฎรได้เข้ายึดอำนาจการปกครอง
สภากรรมการองคมนตรี: พระบรมราโชบายวางรากฐานการปกครองระบอบรัฐสภา
การพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่สำคัญประการหนึ่งคือ การปูพื้นฐานการปกครองในระบอบรัฐสภา โดยการจัดระเบียบสภาองคมนตรีใหม่ เรียกว่า สภากรรมการองคมนตรี ซึ่งเป็นสถาบันที่สืบเนื่องมาจากที่ปรึกษาในพระองค์ หรือ ปรีวีเคาน์ซิล (Privy Council) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้จัดตั้งขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๑๗ และสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน หรือ เคาน์ซิลออฟสเตท (Council of State) ทรงมีพระราชประสงค์ให้ที่ปรึกษาในพระองค์ทำหน้าที่ต่างพระเนตรพระกรรณ กราบบังคมทูลให้ทรงทราบถึงการใดๆ ซึ่งเป็นความเดือดร้อนของราษฎร พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการ ฯลฯ ต่อมาได้แก้ไขที่ปรึกษาในพระองค์ และเรียกว่า สภาองคมนตรี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว องคมนตรีมีจำนวน ๒๒๗ คน เพราะผู้ที่ได้รับพระราชทานพานทองโปรดเกล้าฯ ให้รับตำแหน่งองคมนตรี
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ทรงมีพระราชดำริที่จะปรับปรุงสภาองคมนตรีใหม่ตั้งแต่ต้นรัชกาล ทรงมีพระราชประสงค์จะให้เป็นสถาบันเรียนรู้และ ทดลองการปกครองในระบอบรัฐสภา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งกรรมการเพื่อจัดระเบียบองคมนตรีจำนวน ๙ คน การพิจารณาจัดระเบียบองคมนตรีใหม่สำเร็จลงด้วยการประชุมเพียง ๕ ครั้ง ปรากฏในพระราชบัญญัติองคมนตรี พ.ศ. ๒๔๗๐ การจัดทำพระราชบัญญัติให้สำเร็จในเวลาอันสั้น เป็นไปตามพระราชประสงค์ และอีกประการหนึ่งเป็นเพราะสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตทรงให้พระยาจินดาภิรมย์ร่างเค้าโครงพระราชบัญญัติฉบับนี้ขึ้น เพื่อเป็นพื้นฐานการพิจารณาในที่ประชุม
ความสำคัญของพระราชบัญญัติฉบับนี้ อยู่ที่การกำหนดให้มีสภากรรมการองคมนตรี จำนวน ๔๐ คน โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจากผู้เป็นองคมนตรี โดยมีวาระ ๓ ปี สภากรรมการองคมนตรีมีอำนาจประชุมปรึกษาหารือเรื่องต่างๆ ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานลงมาในกรณีที่มีเรื่องเกี่ยวกับสวัสดิภาพของประเทศชาติและประชาชน กรรมการองคมนตรีจำนวนไม่น้อยกว่า ๕ คน สามารถทำหนังสือกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้มีการประชุมกันได้ โดยทำหนังสือผ่านนายกแห่งสภากรรมการองคมนตรี นอกจากนี้ยังมีบทบัญญัติคุ้มครองการแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม รวมทั้งบุคคลที่สภากรรมการองคมนตรีเชิญมาชี้แจง หรือแสดงความเห็นต่อสภากรรมการองคมนตรี จะเห็นว่าบทบัญญัตินี้มีลักษณะเช่นเดียวกับเอกสิทธิของสมาชิกรัฐสภาในประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย แม้สภากรรมการองคมนตรีจะมิใช่รัฐสภา แต่บทบัญญัติของพระราชบัญญัติองคมนตรีสภา และการทดลองประชุมปรึกษาร่างกฎหมายต่างๆ ของสภานี้ พอที่จะกล่าวได้ว่า สภากรรมการองคมนตรีเป็นก้าวแรกของการเตรียมการปกครองระบอบรัฐสภาที่จะมีขึ้นในอนาคต ดังที่กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ สภานายกกรรมการองคมนตรีตรัสไว้ในที่ประชุมกรรมการองคมนตรีครั้งแรก วันพุธที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ ตอนหนึ่งว่า
" แม้ว่าในเวลานี้ยังไม่มีปาเลียนเมนต์ในเมืองเราก็ตาม แต่จะกล่าวไม่ได้ว่าต่อไปในคราวหน้าความสามารถของประเทศ และความจำเริญของบ้านเมืองจะไม่ทำให้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริเห็นสมควรจะพระราชทานให้มีปาเลียนเมนต์ขึ้นบ้าง ถ้าพระเจ้าแผ่นดินโปรดเกล้าฯ เช่นนั้น จะในชั่วอายุชนรุ่นนี้หรือรุ่นหน้ารุ่นโน้นก็ตาม ปาเลียเมนต์ที่เกิดใหม่ก็จะต้องย้อนหลังมาหาระเบียบการที่ใช้ในสภานี้ เพื่อเอาแบบไปใช้ตามที่ใช้ได้ สภานี้ก็จะตกอยู่ในตำแหน่งสภาครูปาเลียนเมนต์ไทยต่อไปในอนาคต "
การก็เป็นไปตามที่กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ได้ทรงคาดคะเนไว้ ดังจะเห็นได้จากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว คือ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้นำระเบียบข้อบังคับของสภากรรมการองคมนตรีไปใช้ในการประชุมสภาโดยบัญญัติไว้ในมาตรา ๒๗ ว่า " สภามีอำนาจตั้งระเบียบการปรึกษาหารือ เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามธรรมนูญนี้ (ในขั้นแรกนี้ให้อนุโลมใช้ข้อบังคับสภากรรมการองคมนตรี เฉพาะที่ไม่ขัดกับธรรมนูญนี้ไปพลางก่อน) "
พระบรมราโชบายฝึกฝนอบรมประชาชนให้มีความพร้อมสำหรับการปกครองระบอบประชาธิปไตย
แนวพระราชดำริในการพัฒนาการเมืองของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมิได้มีแต่ด้านโครงสร้างทางการเมือง อันได้แก่ รัฐธรรมนูญหรือการจัดตั้งเทศบาล เพื่อสอนราษฎรให้รู้จักใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง หรือพระราชดำริปรับปรุงสภาองคมนตรี เพื่อให้เป็นสถาบันฝึกสอนการประชุม ปรึกษาหารือแบบรัฐสภาเท่านั้น ทรงมีพระราชดำริที่กว้างไกลไปกว่านั้นคือ ทรงมีพระราชดำริที่จะฝึกฝนประชาชนให้มีความพร้อมสำหรับการปกครองระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น เมื่อพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต เสนาบดีกระทรวงธรรมการทูลเกล้าฯ ถวายบันทึกโครงการศึกษาและต่อมาได้ทูลเกล้าฯ ถวายความเห็นของนายมุสโสลินี ที่กล่าวถึงนโยบายและอุปสรรคแห่งการศึกษาของประเทศอิตาลี ซึ่งมีข้อความคล้ายคลึงกับโครงการศึกษาที่ไม่โปรด ด้วยไม่สอดคล้องกับพระบรมราโชบาย
สำหรับการให้การศึกษาเพื่อรองรับการ " เตรียมการที่จะเปลี่ยนเป็น Constitutional Monarchy โดยเร็วที่สุดที่จะทำได้ " นั้นคือ การฝึกฝนประชาชนให้ " มีน้ำใจดี " ทรงมีพระราชดำริว่าการปกครองที่ดียิ่ง เป็นการปกครองในระบอบรัฐสภาด้วยแล้วต้องอาศัยความดีของประชาชน ต้องอาศัยน้ำใจและนิสัยของประชาชนเป็นสำคัญ วิธีที่จะท้าให้พลเมืองมีน้ำใจดีนั้น อยู่ที่การศึกษาฝึกฝน ทรงยกตัวอย่างประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นแม่แบบของการปกครองระบอบประชาธิปไตยในรูปแบบรัฐสภาที่ได้ผลดีอย่างยิ่ง เพราะเขาฝึกฝนพลเมืองของเขาโดยใช้วิธีการของปับลิกสกูลเป็นแบบอย่าง ในกรณีของไทยนั้นก็ทรงหวังที่จะให้โรงเรียนวชิราวุธ ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามแบบปับลิกสกูลของอังกฤษเป็นแบบอย่างสำหรับฝึกฝนน้ำใจของคนไทยเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากพระบรมราโชวาทที่พระราชทานในวันงานประจำปีของวชิราวุธ เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๕
มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า ความต่างๆ ในพระบรมราโชวาทที่พระราชทานเมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน (หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว ๔ เดือนเศษ) นั้น มิใช่พระบรมราโชวาทครั้งแรกที่แสดงให้เห็นถึงพระราชดำริที่จะฝึกฝนเด็กนักเรียนให้ " มีน้ำใจดี " เพราะทุกครั้งที่เสด็จมางานประจำปีของโรงเรียนนี้ก็จะพระราชทานพระบรมราโชวาททรงอธิบายโดยยกลักษณะการฝึกฝนของปับลิกสกูลประการใดประการหนึ่งขึ้นมาเป็นอุทธาหรณ์เสมอ เป็นต้นว่า
พระบรมราโชวาท เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๑ เรื่อง " ว่าด้วยความเป็นมานักกีฬา "
พระบรมราโชวาท เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๒ เรื่อง " ว่าด้วยเด็กในโรงเรียนมีหน้าที่ดูแลกันเองเพียงไร "
พระบรมราโชวาท เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๕ จึงเป็นเพียงการนำสิ่งต่างๆ ที่ทรงกล่าวไว้ในปีก่อนๆ มากล่าวรวมกัน
ไม่เพียงแต่สถาบันการศึกษาของอังกฤษเท่านั้นที่มีนโยบายเช่นนี้ สถาบันการศึกษาในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น มหาวิทยาลัยของประเทศญี่ปุ่น แม้ในปัจจุบันก็มีนโยบายในลักษณะเช่นว่านี้ อาทิ มหาวิทยาลัยวาเสดะ (Waseda University) มีนโยบายและจุดมุ่งหมาย คือ ความตระหนักในอิสรภาพของการศึกษา การนำความรู้ไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ และการปลูกฝังแบบฉบับที่ดีแก่พลเมือง ด้วยเหตุนี้ มหาวิทยาลัยแห่งนี้จึงเน้นเรื่องเสรีภาพที่จะค้นคว้าด้านวิชาการในอันที่จะช่วยเพิ่มพูนความรู้ให้แก่โลก และการเสริมสร้างการปลูกฝังแบบฉบับของพลเมืองตัวอย่างให้แก่ประชากรญี่ปุ่น
พระบรมราโชวาทที่เชิญมาข้างต้นแสดงให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีความปรารถนาดีและทรงสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่จะนำไปสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง การที่พระราชทานพระบรมราโชวาทนี้แก่ครูและนักเรียนของวชิราวุธวิทยาลัย เพราะทรงเห็นว่า โรงเรียนนี้จัดตั้งขึ้นตามแบบอย่างปับลิกสกูลของอังกฤษ ซึ่งในประเทศนั้นใช้ปับลิกสกูลเป็นแบบอย่างทั่วไป ในการฝึกฝนพลเมืองของเขาให้มีน้ำใจดี จึงทรงหวังที่จะให้วชิราวุธวิทยาลัยเป็นต้นแบบของการศึกษาฝึกฝนพลเมืองไทยให้มีน้ำใจดีบ้าง
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง วันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕
เช้าตรู่วันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ณ ลานพระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต " คณะราษฎร " ประกอบด้วยทหารบก ทหารเรือ และพลเรือน ได้ทำการยึดอำนาจด้วยวัตถุประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบการปกครองที่พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) อ่านประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ ๑ มีเนื้อหาโจมตีพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ความไม่เหมาะสมของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และ ความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ รวมทั้งได้ประกาศหลัก ๖ ประการในการปกครอง ในตอนท้ายของคำประกาศได้เรียกร้องให้ราษฎรสนับสนุน " คณะราษฎร " เพื่อที่จะไปสู่สิ่งที่ทุกคนพึงปรารถนาคือ " ความสุขความเจริญอย่างประเสริฐซึ่งเรียกกันเป็นศัพท์ว่า " ศรีอาริย์ " นั้น ก็จะพึงบังเกิดแก่ราษฎรถ้วนหน้า "
ภายในระยะเวลาประมาณสามชั่วโมงนับตั้งแต่รวมพล ณ ลานพระที่นั่งอนันตสมาคม คณะราษฎรก็สามารถยึดอำนาจในกรุงเทพฯ ได้หมดสิ้นโดยปราศจากการต่อต้านจากฝ่ายรัฐบาล จับกุมพระบรมวงศ์และข้าราชการตำแหน่งสำคัญๆ ไว้เป็นตัวประกัน อาทิว่า สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ จากนั้นคณะราษฎรจึงได้มีหนังสือกราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งอยู่ในระหว่างเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับแรมที่ " สวนไกลกังวล " อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ให้เสด็จพระราชดำเนินคืนสู่พระนครเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
ในเวลานั้น ไม่มีผู้ใดทราบว่าเหตุการณ์จะรุนแรงเพียงใด จะถึงขนาดฆ่าฟันล้มล้างพระราชวงศ์เช่นที่เคยเกิดขึ้นในประเทศฝรั่งเศสและประเทศรัสเซียหรือไม่ ดังนั้น เมื่อผู้รักษาพระนครได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระราชดำเนิน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกลับกรุงเทพฯ จึงเป็นการตัดสินใจยากว่าจะต่อสู้ยึดอำนาจการปกครองคืน หรือจะหลบหนีออกนอกพระราชอาณาจักร หรือจะกลับเข้ากรุงเทพฯ เพื่อยอมรับการเปลี่ยนแปลงนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งถามความเห็นในเรื่องนี้ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงตัดสินพระราชหฤทัยอย่างเด็ดเดี่ยวกล้าหาญเลือกในทางที่จะกลับเข้ากรุงเทพฯ ให้ความร่วมมือกับคณะราษฎร ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองเพื่อแก้ไขสถานการณ์ของบ้านเมืองให้กลับเข้าสู่ความสงบเรียบร้อย ระงับเหตุที่อาจนำไปสู่การรบกันจนนองเลือดได้ เกี่ยวกับเรื่องนี้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ทรงแปลพระราชหัตถเลขาภาษาอังกฤษที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทาน เล่าถึงเหตุการณ์ในวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง
" ฉันรู้สึกเสียดายอย่างยิ่งที่เขามิได้คิดจะถอดฉันและฉันยังเสียใจอยู่จนบัดนี้ ความรู้สึกขั้นแรกก็คือขอลาออกทันที่แต่สมเด็จกรมพระสวัสดิ์ฯ แนะนำว่าไม่ควรทำ เพราะถ้าทำเช่นนั้นอาจมีการรบกันจนนองเลือด ทั้งยุ่งยากต่างๆ จนอาจจะมีฝรั่งเข้ามายุ่ง และชาติเราอาจเสียอิสระภาพได้...ถ้าเราจะรบโดยใช้ทหารหัวเมืองหรือ...นั้นเป็นของแน่ที่เราอาจจะทำได้ แต่ฉันไม่ยินยอมเลยแม้ชั่วขณะเดียว เพราะเจ้านายในกรุงเทพฯ อาจถูกฆ่าหมด ฉันรู้สึกว่าฉันจะนั่งอยู่บนบัลลังก์ที่เปื้อนโลหิตไม่ได้...สมเด็จกรมพระสวัสดิ์ฯ แนะนำตลอดเวลาให้ยินยอมกลับกรุงเทพฯ และช่วยคณะราษฎรจัดตั้งการปกครอง โดยมีกษัตริย์และรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็เป็นของที่ฉันเคยอยากจะทำมานานแล้ว แต่ว่าฉันเสียขวัญ ในที่สุดมีทางจะทำได้ ๒ ทาง คือ จะหนีหรือจะกลับกรุงเทพฯ ฉันยอมรับว่าฉันตัดสินใจไม่ได้ทันทีว่าจะทำอย่างไรดี เราเพิ่งได้ยินคำแถลงการณ์อันรุนแรงทางวิทยุกระจายเสียงดูราวกับจะไปทางบอลเชวิค ถ้าเช่นนั้นการที่จะกลับไปให้เขาตัดหัวดูออกจะไร้ประโยชน์ เป็นการเสียสละอันไม่มีใครได้ประโยชน์อะไรเลย แต่นั่นแหละ คำแถลงการณ์นั้นอาจเป็นถ้อยคำของผู้ที่ออกจะคิดสั้นและรุนแรงรวดเร็วจัดคนหนึ่ง และไม่ใช่นโยบายจริงของคณะ ฉันเลยตกลงใจเสี่ยงดู โดยให้พวกผู้หญิงเขาเลือกทั้งหญิงและหญิงอาภา (พระมารดา) ตกลงเลือกให้กลับอย่างแน่วแน่ และฉันเห็นว่าทั้งสองควรจะได้รับเกียรติอย่างเต็มที่ในการตกลงใจอย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเช่นนั้น เพราะในเวลานั้นเราอาจกลับไปสู่ความตายก็ได้ ผู้หญิงเขาเลือกเอาความตายดีกว่าการเสียศักดิ์ เท่านั้นก็พอแล้วสำหรับฉัน "
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินจากหัวหินสู่กรุงเทพฯ โดยขบวนรถไฟพระที่นั่งถึงสถานีรถไฟหลวงจิตรลดาเมื่อเวลา ๐๐.๐๔ นาฬิกา ของวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นเวลาดึกสงัด ปราศจากกองทหาร มีแต่ลูกเสือไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทคอยรับเสด็จ ข้าราชการที่ไปคอยรับเสด็จก็มีแต่ข้าราชการกระทรวงวัง ไฟที่สถานีรถไฟหลวงสวนจิตรลดาก็ขมุกขมัว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินกลับสู่พระนครในท่ามกลางความมืดและเยือกเย็น บุคคลที่ได้ไปเห็นไปคอยรับเสด็จในครั้งนั้นพากันสลดใจ แต่ในส่วนพระองค์นั้น ทั้งสองพระองค์ทรงอยู่ในพระราชอิริยาบถที่อ่อนโยนแจ่มใสโดยปรกติ ทั้งๆ ที่พระองค์ต้องทรงประสบกับความยุ่งยากในส่วน พระราชอำนาจอย่างใหญ่หลวง อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในพระบรมราชจักรีวงศ์ จากสถานีรถไฟหลวงสวนจิตรลดาเสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์ พระที่นั่งกลับคืนสู่วังศุโขทัย " บ้าน " ที่แท้จริงของทั้งสองพระองค์
ร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครอง แผ่นดินสยาม พ.ศ. ๒๔๗๕
ในวันรุ่งขึ้น (๒๖ มิถุนายน ๒๔๗๕) คณะราษฎรได้นำร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม พ.ศ. ๒๔๗๕ พร้อมด้วยร่างพระราชกำหนดนิรโทษกรรมในคราวเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ณ วังศุโขทัย เพื่อลงพระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยเฉพาะร่างพระราชกำหนดนิรโทษกรรมในคราวเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ แต่เพียงฉบับเดียว ส่วนร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม พ.ศ. ๒๔๗๕ นั้น ไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย แต่ทรงรับไว้พิจารณาก่อน และโปรดเกล้าฯ นัดหมายให้คณะราษฎรมาเฝ้าในวันรุ่งขึ้น เมื่อได้ทรงพิจารณาโดยถี่ถ้วนแล้วจึงได้ทรงลงพระปรมาภิไธย โดยได้ทรงเติมคำว่า " ชั่วคราว " ในชื่อของรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทยจึงมีชื่ออย่างเป็น ทางการว่า " พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. ๒๔๗๕ " ทั้งหมดนี้มีความหมายว่า การจัดการปกครองตามระบอบใหม่นั้น มิใช่เป็นสิ่งที่คณะราษฎรจะกำหนดได้ฝ่ายเดียว หากแต่จะต้องมีการประนีประนอมออมชอมกับฝ่ายอื่นด้วย
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชบันทึกในเวลาต่อมาว่า
" ครั้นเมื่อข้าพเจ้ากลับขึ้นไปกรุงเทพฯ และได้เห็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่หลวงประดิษฐ์นำมาให้ข้าพเจ้าลงนาม ข้าพเจ้าก็รู้สึกทันทีว่า หลักการของผู้ก่อการกับหลักการของข้าพเจ้านั้นไม่ พ้องกันเสียแล้ว...ข้าพเจ้าเห็นว่า เวลานั้นเป็นเวลาฉุกเฉิน และสมควรจะพยายามรักษาความสงบไว้ก่อน เพื่อหาโอกาสผ่อนผันภายหลัง และเพื่อสำเหนียกฟังความเห็นของประชาชนก่อน ข้าพเจ้าจึงได้ยอมผ่อนผันไปตามความประสงค์ของคณะผู้ก่อการในครั้งนั้น ทั้งนี้ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นด้วยกับหลักการเหล่านั้นเลย "
พระราชพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญ
วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องเต็มยศใหญ่ ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สวมสายสะพายนพรัตนราชวราภรณ์ สวมเสื้อครุย และสายสร้อย ราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ทรงชฎามหากฐิน เสด็จออกพระที่นั่งอนันตสมาคม ประทับเหนือพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ บนพระราชบัลลังก์ ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร ถึงอุดมมงคลฤกษ์ ระหว่างเวลา ๑๔ นาฬิกา ๕๓ นาที ถึง ๑๕ นาฬิกา ๕ นาที เสวกโท พระยาโหราธิบดี ลั่นฆ้องชัย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานฉบับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามแด่มหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาพิชัยญาติ ประธานสภาผู้แทนราษฎร " ประสิทธิ์ประสาทประกาศพระราชทานแก่ประชากรของพระองค์ให้ดำรงอิสสราธิปไตยโดยบริบูรณ์ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป "
พระราชพิธีในวันนั้น รวมทั้งการทรงเครื่องบรมราชภูษิตาภรณ์ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เต็มยศ เพื่อแสดงให้เห็นว่าได้พระราชทานพระราชอำนาจที่ทรงได้รับเมื่อวันเสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติให้กับปวงชนชาวไทย
ทรงสละราชสมบัติ พ.ศ. ๒๔๗๗
ก่อนหน้าที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จะทรงตัดสินพระทัยเสด็จไปรักษาพระเนตรในวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๖ และประทับ ณ พระตำหนักโนล ประเทศอังกฤษนั้น ได้มีเหตุการณ์ที่ทรงขัดข้องพระราชหฤทัยหลายประการ เช่น เหตุการณ์ขัดแย้งทางการเมืองถึงขั้นต่อสู้กันด้วยอาวุธของคณะกู้บ้านกู้เมืองที่เรียกว่า " กบฏบวรเดช " กับรัฐบาล ซึ่งมีที่มาจากการแตกแยกกระทบกระทั่งกันในคณะราษฎร แล้วแบ่งกันเป็นพวก โดยต่างก็พยายามโค่นล้มกัน ทรงแจ้งพระราชดำริขอให้กระทำกันโดยวิธีประนอมแก่กันทั้ง ๒ ฝ่าย และไม่ทรงเห็นด้วยกับการตั้งศาลพิเศษพิจารณาคดีโดยไม่เปิดโอกาสให้ต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมแล้วตัดสินลงโทษจำเลยซึ่งมีจำนวนถึง ๓๒๐ คน ส่วนหนึ่งถูกนำไปควบคุมไว้ที่เกาะตะรุเตา การที่รัฐบาลไม่ยอมผ่อนตามกระแสพระราชดำริเช่นนี้ เป็นสิ่งที่กระทบกระเทือนพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง ด้วยไม่ทรงปกป้องรักษาผู้ใดได้
ที่ทรงขัดข้องพระราชหฤทัยต่อมาคือ การที่ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญในข้อที่เกี่ยวกับการแต่งตั้งสมาชิกประเภท ๒ ซึ่งกำหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง แต่กลับคัดเลือกบุคคลโดยไม่ถือเอาคุณวุฒิ ความรู้ความสามารถเป็นเกณฑ์มาเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย โดยมิได้ทรงกลั่นกรองด้วยพระองค์แต่อย่างใด
นอกจากนี้ รัฐบาลได้เสนอพระราชบัญญัติป้องกันรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการให้เสรีภาพในการประชุมการตั้งสมาคมทางการเมือง การให้อภัยโทษแก่นักโทษทางการเมือง ซึ่งทรงเห็นว่ายังไม่เป็นไปตามหลักการในรัฐธรรมนูญที่แท้จริง หลังจากทรงมีพระราชบันทึกแสดงกระแสพระราชดำริตามหลักการของการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด แต่รัฐบาลยังคงยืนยันว่าได้ปฏิบัติตามหลักการของรัฐธรรมนูญแล้ว
เพื่อเป็นการยุติโดยสันติวิธี วันที่ ๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๗๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชหัตถเลขา ทรงประกาศสละราชสมบัติมายังราษฎรชาวไทย เป็นความในพระราชหฤทัยของพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานอำนาจในการปกครองระบอบประชาธิปไตยแก่ปวงชนชาวไทยทั้งปวง