ความตอนหนึ่งในพระราชดำริจากพระราชบันทึก Democracy in Siam
แต่งตั้งอภิรัฐมนตรี
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๑ ประเทศต่างๆ ในยุโรปบางประเทศได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตย เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชน การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้ต่อสู้กับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างรุนแรงการต่อสู้ระหว่างทั้งสองระบอบนี้เต็มไปด้วยการนองเลือด เช่น ในอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย ตลอดจนกระแสความคิดการปกครองระบอบประชาธิปไตยแพร่เข้ามาในเอเชีย และจีน รวมทั้งสยาม
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสดับเหตุการณ์จลาจลในประเทศจีน ตามรายงานที่เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศกราบถวายบังคมทูลเป็นการส่วนพระองค์ ทรงรู้สึกอนาถในพระราชหฤทัยยิ่งนัก พ.ศ. ๒๔๕๓ ตรัสให้กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศอ่านรายงานเกี่ยวกับการปฏิวัติใหญ่ในประเทศจีน ครั้นจบลงแล้วจึงมีพระราชดำรัสว่า
" ฉันคิดว่า มันเป็นสัญญาณของกลุ่มประเทศตะวันออกที่จะปกครองบ้านเมืองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เราจะต้องตั้งปาลิเมนต์ (Parliament) และให้คอนสติติวชั่น (Constitution) แก่ราษฎร เขาฉลาดพอที่จะปกครองตัวเองได้หรือยังล่ะ ฉันไม่อยากเห็นแผ่นดินไทยนองไปด้วยเลือดอย่างเมืองจีนเลยทีเดียว สงสารพลเมืองของฉันเหลือเกิน "
มาถึงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงถือว่าเป็นหน้าที่ของพระองค์อยู่แล้ว ที่จะสนองพระราชดำริของพระบรมชนกนาถ และสมเด็จพระเชษฐาธิราช หลังขึ้นครองราชสมบัติได้เพียง ๒ วัน ทรงตั้งสภาอภิรัฐมนตรี และสภาองคมนตรีขึ้นตามมาในปี พ.ศ. ๒๔๗๐
- สมาชิกสภาอภิรัฐมนตรี ประกอบด้วยพระบรมวงศ์อาวุโส ๕ พระองค์ คือ
- ๑. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงษ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ต้นราชสกุลภาณุพันธุ์
- ๒. สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้าฯ บริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ต้นราชสกุลบริพัตร
- ๓. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ต้นราชสกุลดิศกุล
- ๔. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ต้นราชสกุลจิตรพงศ์
- ๕. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ต้นราชสกุลกิติยากร
อย่างไรก็ดีเคยรับสั่งแก่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์ พระราชนัดดาไว้ว่า
" ถึงแม้จะมีอภิรัฐมนตรีไว้ถวายความคิดเห็นและถวายคำแนะนำแล้วก็จริง แม้ว่าจะทรงเห็นด้วยกับคำแนะนำแล้วก็ตาม แต่ในที่สุด พระเจ้าอยู่หัวสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็ต้องทรงรับผิดชอบแต่พระองค์เดียว อันย่อมเป็นพระราชภาระซึ่งหนักอย่างยิ่ง "
พระราชบัญญัติองคมนตรี พุทธศักราช ๒๔๗๐
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยึดแบบอย่างการแต่งตั้งองคมนตรีตามแบบประเพณีในสมัยรัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๖ อย่างไรก็ตาม การเลือกสรรองคมนตรีในสมัยนี้ ได้มีการเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อย คือทรงเลือกผู้ที่ไม่ได้รับพระราชทานเครื่องยศชั้นพานทองด้วย
เนื่องจากองคมนตรีมีจำนวนมากจึงไม่สะดวกในการเรียกประชุม พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งสภากรรมการองคมนตรีขึ้นตามพระราชบัญญัติองคมนตรี พ.ศ. ๒๔๗๐ และทรงคัดเลือกองคมนตรีที่ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ จำนวน ๔๐ คน เข้ามาเป็นกรรมการองคมนตรี เพื่อทำหน้าที่ " ประชุมปรึกษาหารือข้อราชการตามแต่จะโปรดเกล้าฯ พระราชทานลงมาให้ปรึกษา "
นอกจากนี้ยังมีพระราชดำริจะให้สภากรรมการองคมนตรี เป็นที่ประชุมตัวอย่างสำหรับการแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ ได้อย่างเสรีอีกด้วย ตลอดรัชสมัยรัชกาลที่ ๗ สภากรรมการองคมนตรีได้ปฏิบัติหน้าที่และทำการประชุมอย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงได้มีการประกาศยกเลิกพระราชบัญญัติองคมนตรี พ.ศ. ๒๔๗๐ เป็นผลให้องคมนตรีและสภากรรมการองคมนตรีที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติองคมนตรี พ.ศ. ๒๔๗๐ พ้นจากตำแหน่งและหน้าที่ไป
พระราชบัญญัติเงินตรา พุทธศักราช ๒๔๗๑
ปัญหาด้านเศรษฐกิจของประเทศที่สืบเนื่องกันมา ทำให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวถือว่าเป็นพระราชกรณียกิจที่จะต้องแก้ปัญหานี้อย่างเร่งด่วน นับแต่ทรงครองราชย์ (พ.ศ. ๒๔๖๘) ทรงพยายามแก้ไขปัญหางบประมาณขาดดุลด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ตัดทอนรายจ่ายที่ไม่จำเป็น ลดจำนวนข้าราชการ ยุบหรือรวมหน่วยงานทุกระดับ ลดค่าใช้จ่ายส่วนพระองค์ ซึ่งได้ทำมาตรการเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง จนทำให้ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๖๙-๒๔๗๒ งบประมาณแผ่นดินมีความสมดุล
ในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ ทรงดำเนินการการผูกค่าเงินบาท โดยออกจากมาตรฐานทองคำ ตามคำแนะนำของกระทรวงพระคลังมหาสมบัติที่มีที่ปรึกษาชาวอังกฤษ คือ Sir Edward Cook แต่ยังคงผูกค่าเงินบาทไว้กับเงินปอนด์ของอังกฤษ (ขณะนั้น การค้าขายต่างประเทศทำด้วยเงินปอนด์ถึงร้อยละ ๕๒.๑) โดยได้ออกพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๔๗๑ ผูกเงินบาทเข้ากับทองคำโดยตรง มีอัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทเป็น ๑ ต่อ ๑๑ ของเหรียญโซเวอเรน (Sovereign)
ในปี พ.ศ. ๒๔๗๒ เกิดปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก และประเทศก็ได้รับผลกระทบนี้อย่างหนักเช่นกัน พระองค์ทรงใช้มาตรการคล้ายระลอกแรก แต่การปลดข้าราชการครั้งนี้ ทรงลำบากพระราชหฤทัยมาก ดังกระแสพระราชดำรัสเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๕ ความตอนหนึ่งว่า
" ข้าพเจ้าเองรู้สึกเหมือนว่าเกิดมาสำหรับตัดรอน ตั้งแต่ต้นก็ตัดมาแล้ว คราวนี้ก็ต้องตัดอีก รู้สึกว่าเป็นเคราะห์กรรมของตัวที่ต้องทำเช่นนั้นเสมอ ที่จริงการที่ จะปลด จะตัดคราวนี้ รู้สึกหนักใจกว่าคราวก่อนมาก ไม่อยากจะทำเลย และรู้สึกสงสารที่สุดสำหรับผู้ที่จะต้องออกไป "
นอกจากนี้ยังทรงดำเนินการการผูกค่าเงินบาท โดยออกจากมาตรฐานทองคำ ตามคำแนะนำของกระทรวงพระคลังมหาสมบัติที่มีที่ปรึกษาชาวอังกฤษคือ Sir Edward Cook แต่ยังคงผูกค่าเงินบาทไว้กับเงินปอนด์ของอังกฤษ (ขณะนั้น การค้าขายต่างประเทศทำด้วยเงินปอนด์ถึงร้อยละ ๕๒.๑)
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๑
ก่อนรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว การบริหารงานบุคคลพลเรือนในกระทรวง ทบวง กรม ยังไม่มีระเบียบแบบแผนและการปฏิบัติไปในแนวเดียวกัน เช่น การบรรจุบุคคลเข้ารับราชการ การเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง การกำหนดอัตราเงินเดือน ตลอดจนกฏเกณฑ์ วินัย และการลงโทษข้าราชการแต่ละกระทรวง ทบวง กรม ต่างปฏิบัติไปตามแนวทางหรือประเพณีของแต่ละหน่วยงาน
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์แล้ว ทรงมีพระราชดำริวางระเบียบข้าราชการพลเรือนเป็นข้าราชการอาชีพ โดยไม่แสวงหาผลประโยชน์ในทางอื่น เปิดโอกาสให้ผู้มีความรู้ดีเข้ารับราชการ มีระบบสรรหาเป็นกลางและยุติธรรม มีระเบียบวินัยเป็นแบบแผนเดียวกัน เพื่อให้ข้าราชการได้รับความเป็นธรรม รวมทั้งมีสิทธิหรือหน้าที่ต่อราชการเสมอกัน พระราชดำรินี้ เป็นที่มาของพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๔๗๑ เป็นการวางรากฐานระบบข้าราชการพลเรือน ๕ ประการ คือ
- ๑. ให้ข้าราชการพลเรือน ทุกกระทรวง ทบวง กรม อยู่ในระเบียบเดียวกัน
- ๒. ให้เลือกสรรผู้มีความรู้ความสามารถเข้ารับราชการ
- ๓. ให้ข้าราชการพลเรือนรับราชการเป็นอาชีพ
- ๔. ให้ข้าราชการพลเรือนมีวินัย
พระราชบัญญัติควบคุมกิจการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชน พ.ศ. ๒๔๗๑
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ออกกฎหมายควบคุมกิจการค้าขายที่เป็นสาธารณูปโภค ที่กระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชนนั้นจะต้องขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตหรือสัมปทานก่อน โดยเมื่อวันที่ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๑ มีการประกาศใช้บังคับ " พระราชบัญญัติควบคุมกิจการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชน พ.ศ. ๒๔๗๑ " กฎหมายฉบับนี้มีสาระสำคัญคือ
- มาตรา ๔ คือ รัฐเป็นผู้ผูกขาดการประกอบกิจการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภคแต่ผู้เดียว เอกชนจะเข้ามาดำเนินการจัดทำจะต้องได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตหรือสัมปทานก่อน
- มาตรา ๕ กำหนดประเภทของกิจการต่างๆ ที่ถือว่าเป็นกิจการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภคอันได้แก่ การรถไฟ รถราง ขุดคลอง เดินอากาศ ประปา ชลประทาน โรงไฟฟ้า ฯลฯ
- มาตรา ๗ กำหนดถึงกิจการอื่นที่จะดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตหรือสัมปทานก่อน เช่น กิจการประกันภัย ธนาคาร เครดิตฟองซิเอร์ เป็นต้น
ที่สำคัญ กฎหมายฉบับนี้ นับเป็นฉบับแรกที่ให้ความหมายของกิจการที่เป็นสาธารณูปโภคไว้ ได้แก่ การรถไฟ การรถราง ขุดคลอง เดินอากาศ ประปา ชลประทาน โรงไฟฟ้า และกิจการอื่นที่มีผลกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชน