เสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติในช่วงของการ
เปลี่ยนแปลงทางสังคมของโลก และสภาวะ
เศรษฐกิจตกต่ำเพราะเป็นช่วงหลังสงครามโลก
ครั้งที่ ๑ ทรงสนพระทัยเรื่องการศึกษาของชาติ
อย่างมากและมีพระราชดำริว่า “การศึกษา
ไม่ควรแยกจากวัด”
พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเอาพระราชหฤทัยใส่ในพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังต่อเนื่อง อย่างน้อยนับตั้งแต่ทรงผนวช เมื่อยังทรงเป็น สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนศุโขทัยธรรมาธิราชา
เมื่อเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ชำระและจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทยให้ครบถ้วน เพิ่มเติมจากที่เคยจัดพิมพ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อบำเพ็ญพระราชกุศลถวายแด่สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวตามราชประเพณี
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท เป็นทุนเริ่มต้นในการจัดพิมพ์พระไตรปิฎกครั้งนี้
พระไตรปิฎกฉบับนี้ นับเป็นพระไตรปิฎกฉบับภาษาไทยที่สมบูรณ์ที่สุด จบหนึ่งมีจำนวน ๔๕ เล่ม พิมพ์จำนวน ๑,๕๐๐ จบ โดยขนานนามพระไตรปิฎกฉบับนี้ว่า “พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ” ซึ่งได้แจกจ่ายไปตามมหาวิทยาลัยและหอสมุดนานาชาติทั่วโลก จำนวน ๔๕๐ ชุด พระราชทานในราชอาณาจักรจำนวน ๒๐๐ ชุด อีก ๘๕๐ ชุด พระราชทานแก่ผู้บริจาคทรัพย์ขอรับหนังสือพระไตรปิฎก
ลิขสิทธิ์ของพระไตรปิฎกฉบับนี้ พระราชทานแก่มหามกุฎราชวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๐
กำเนิดราชบัณฑิตยสภา
เมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๙ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศให้จัดตั้ง “ราชบัณฑิตยสภา” ขึ้น ทรงเห็นสมควรฟื้นฟูกิจการของกรมราชบัณฑิตย์ ซึ่งมีมาแต่โบราณและเป็นตำแหน่งสำหรับทรงตั้งผู้มีความรู้ไว้รับราชการ
ราชบัณฑิตยสภา แบ่งเป็น ๓ แผนก คือ
- ๑. แผนกวรรณคดี มีหน้าที่จัดการหอพระสมุดสำหรับพระนครและสอบสวนพิจารณาวิชาอักษรศาสตร์
- ๒. แผนกโบราณคดี จัดการพิพิธภัณฑสถาน ตรวจรักษาโบราณวัตถุสถาน
- ๓. แผนกศิลปากร จัดการบำรุงรักษาวิชาช่าง ทั้งจิตรกรรม สถาปัตยกรรมและดุริยางคศิลป
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติว่าด้วยราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๔๗๖ และให้ยกเลิกประกาศตั้งราชบัณฑิตยสภา ฉบับลงวันที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๙
จัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาใหม่ ๒ หน่วยงาน คือ ราชบัณฑิตยสถานและกรมศิลปากร ทั้งนี้ เพื่อให้มีบุคคลที่หลากหลายมากขึ้นเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๘ หน่วยงาน “ราชบัณฑิตยสถาน” ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “สำนักงานราชบัณฑิตยสภา” และ “สภาราชบัณฑิต” เปลี่ยนชื่อเป็น “ราชบัณฑิตยสภา” แต่การดำเนินงานทางด้านวิชาการและการนำผลงานให้บริการเผยแพร่สู่ประชาชนยังดำเนินต่อไป พร้อมการพัฒนาให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็วยิ่งขึ้น
(ข้อมูลเพิ่มเติม: ราชบัณฑิตยสภา http://www.royin.go.th/)
วชิรญาณ เป็นหอสมุดสำหรับบริการประชาชนทั่วไปและพระราชทานนามว่า“หอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร”
หอพระสมุดสำหรับพระนคร
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำริให้รวมหอพุทธสาสนะ สังคหะ หอพระมณเฑียรธรรม และหอพระสมุดวชิรญาณ เป็นหอสมุดสำหรับบริการประชาชนทั่วไปและพระราชทานนามว่า“หอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร” ตั้งอยู่ ณ หอคองคอเดียในพระบรมมหาราชวัง ปัจจุบันคือ ศาลาสหทัยสมาคม จากนั้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ ได้ย้ายหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนครจากที่ตั้งเดิมอยู่ที่ตึกถาวรวัตถุ ริมถนนหน้าพระธาตุและพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิด เมื่อวันที่ ๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๕๙
ครั้นถึง พ.ศ. ๒๔๖๙ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แยกหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนครออกเป็น ๒ หอ คือ หอพระสมุดวชิราวุธ ซึ่งตั้งอยู่ที่ตึกถาวรวัตถุเช่นเดิมให้เป็นที่เก็บหนังสือฉบับพิมพ์ทั้งหมดและหนังสือส่วนพระองค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนศิลาจารึก คัมภีร์ใบลาน หนังสือสมุดไทย ตู้ลายรดน้ำ ย้ายไปที่พระที่นั่งศิวโมกขพิมานในนาม “หอพระสมุดวชิรญาณ” เช่นเดิม ทั้งนี้ ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดหอพระสมุดทั้งสอง เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๖๙
ในปี ๒๔๗๖ รัฐบาลจัดตั้งกรมศิลปากรขึ้นและมีพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกำหนดให้หอพระสมุดสำหรับพระนครเป็นกองหอสมุด ขึ้นกับกรมศิลปากรและต่อมาก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น“หอสมุดแห่งชาติ” เช่นทุกวันนี้
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ตั้งอยู่บริเวณ“พระราชวังบวรสถานมงคล” หรือ “วังหน้า” ซึ่งประกอบไปด้วยหมู่พระที่นั่งที่สำคัญในอดีต ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานสถานที่แห่งนี้ ให้เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑสถานหรือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในปัจจุบัน สำหรับรวบรวมเก็บรักษาโบราณและศิลปวัตถุต่างๆ สำหรับประชาชน ในการศึกษาหาความรู้ความเข้าใจประวัติศาสตร์ชาติไทย ประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีในประเทศไทย พร้อมทั้งประณีตศิลป์และชาติพันธุ์วิทยา
ในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ นั้น นับได้ว่าเป็นปีที่สำคัญให้เกิดเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในปัจจุบัน
- ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ตราพระราชบัญญัติพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
- ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๙ ประกาศตั้งราชบัณฑิตยสภาให้ดูแลงานด้านโบราณคดี วรรณคดี ศิลปากร และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยมีสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงดำรงตำแหน่งนายกราชบัณฑิตยสภา การเปลี่ยนแปลงของการจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานได้เริ่มตั้งแต่ในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ ได้ปรับปรุงการจัดแสดง ทำให้พิพิธภัณฑสถานเปลี่ยนจากพิพิธภัณฑสถานประเภททั่วไป เป็นพิพิธภัณฑสถานที่รวบรวมสงวนรักษาโบราณศิลปวัตถุ ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ
- ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ ตราพระราชบัญญัติว่าด้วยการส่งโบราณวัตถุและศิลปวัตถุออกนอกประเทศ ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติป้องกันการลักลอบนำโบราณวัตถุและศิลปวัตถุอันเป็นหลักฐานที่สำคัญทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ออกนอกประเทศ โดยกำหนดให้ผู้จะนำต้องได้รับอนุมัติจากราชบัณฑิตยสภาก่อน
- ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๙ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระราชินี ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ” ในวันประกอบพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา
ต่อมาเมื่อประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลได้จัดตั้งกรมศิลปากรขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จึงได้เข้าสังกัดกับกรมศิลปากร และได้ประกาศตั้งเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๗
ที่มา : กรมศิลปากร http://www.finearts.go.th/thailandmuseum
ประกวดแต่งหนังสือสำหรับสอนพระพุทธศาสนาสำหรับเด็ก
ทรงริเริ่มให้จัดประกวดแต่งหนังสือสอนพระพุทธศาสนาสำหรับเด็ก ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ หนังสือเรื่องแรกที่ได้รับพระราชทานรางวัลประจำปี พ.ศ. ๒๔๗๑ คือเรื่อง “สาสนคุณ” เป็นพระนิพนธ์ของหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล
จากนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดการประกวดแต่งหนังสือสอนพระพุทธศาสนาสำหรับเด็ก และจัดพิมพ์พระราชทานในพระราชพิธีวิสาขบูชาเป็นประจำทุกปี
ครั้งแรก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
พระบรมราชินี ได้เสด็จพระราชดำเนินยัง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อพระราชทาน
ปริญญาบัตรแก่เวชชบัณฑิตจำนวน ๓๔
คน เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๓
เป็นจุดเริ่มต้นของประเพณีการพระราชทาน
ปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา
พระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรก
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ได้เสด็จพระราชดำเนินยังจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อพระราชทานประกาศนียบัตรแก่เวชชบัณฑิตจำนวน ๓๔ คน เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๔๗๓ เป็นจุดเริ่มต้นของประเพณีการพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา
ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่เดือน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกำหนดเสื้อครุยบัณฑิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขึ้นเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๔๗๓
เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๔ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินเพื่อพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งมีสตรีอยู่ด้วย ในครั้งนั้นพระองค์ได้ทรงย้ำแก่บัณฑิตมิให้หลงในคุณค่าของปริญญาบัตร
“การที่เราจะเอาวิชาไปใช้ให้เป็นประโยชน์หรือไม่อยู่ที่ตัวผู้ได้ไป ถ้าเราไม่ใช้ความพยายาม ก็จะเป็นอย่างที่โบราณท่านย่อมว่าไว้ว่า “วิชาท่วมหัว เอาตัวไม่รอด” เราจำจะต้องทำความพยายามเองด้วย พยายามขยันขันแข็ง พยายามเรียนต่อศึกษาต่อไป ไม่ใช่ว่าได้ปริญญาไปแผ่นหนึ่งก็เป็นอันว่าพอแล้ว เราต้องคิดต่อไป ต้องเรียนต่อไป ต้องทำความพยายามอยู่เรื่อย ปริญญาที่ได้ไปจึงจะมีประโยชน์ อีกประการหนึ่ง ผู้ฉลาดแต่นิสัยอัธยาศัยไม่ดี เป็นผู้ไม่ควรคนอื่นจะไว้วางใจ ถึงจะฉลาดเท่าไร จะได้ปริญญาสัก ๑๐๐ อัน ก็ไม่เป็นประโยชน์แก่ตน ต้องพยายามเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์สุจริต สมควรที่คนอื่นจะไว้ใจ”
ยกเลิกการเก็บเงินศึกษาพลีหรือภาษีการศึกษาประชาบาล
ในปี พ.ศ. ๒๔๗๓ ในขณะที่เศรษฐกิจตกต่ำ ได้โปรดให้ยกเลิกการเก็บเงินศึกษาพลีหรือภาษีการศึกษาประชาบาลเพื่อแบ่งเบาภาระของราษฎรและจ่ายเงินงบประมาณแทน นับเป็นจุดเริ่มต้นของการที่รัฐถือเป็นหน้าที่ต้องจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานแก่ประชาชน
นอกจากนี้ยังได้แก้ไขพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ ให้ต้องใช้หลักสูตรที่มีมาตรฐานเหมือนโรงเรียนรัฐบาล และได้เสด็จฯ ทรงเยี่ยมโรงเรียนทั้งของมิชชันนารี โรงเรียนจีน โรงเรียนสอนภาษมลายู และโรงเรียนสำหรับสตรี ทั้งที่อยู่ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด